ดื่มน้ำไม่พอ...ปัญหาสุขภาพจะมาเยือนโดยไม่รู้ตัว
น้ำ ส่วนประกอบสำคัญของร่างกายซึ่งเป็นสิ่งที่คนเราไม่สามารถขาดได้ เพราะแม้แต่ในเซลล์ที่เล็กที่สุดของร่างกายก็ยังมีน้ำเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นการขาดน้ำจึงเป็นสิ่งที่อันตรายต่อคนเราอย่างมากเลยล่ะค่ะ เพราะไม่เพียงแต่ทำให้รู้สึกกระหายแต่ยังส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพของเรา อีกด้วย
การดื่มน้ำในปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อร่างกายจะทำให้เกิดความเสี่ยงปัญหา สุขภาพได้มากมาย นั่นเป็นเพราะน้ำช่วยขับของเสียในร่างกาย เมื่อร่างกายขาดน้ำ ไตก็จะไม่สามารถขับของเสียได้ ทำให้ของเสียเหล่านั้นจับตัวกันเป็นนิ่วในไตและถ้าขาดน้ำยังทำให้ระบบขับ ถ่ายทำงานผิดปกติ นอกจากนี้น้ำยังช่วยเจือจางเลือดไม่ให้เข้มข้นจนเกินไป และป้องกันเกล็ดเลือดแข็งตัว ซึ่งเป็นสาเหตุของการหัวใจวาย
ระบบการเผาผลาญหยุดชะงัก
การศึกษาในปี 2010 ซึ่งถูกตีพิมพ์ในหนังสือ The Water Secret ของดอกเตอร์ Howard Murad พบว่าคนที่มีระบบการเผาผลาญที่ ดี มีสาเหตุมาจากปริมาณน้ำในร่างกายที่มีอย่างเพียงพอ ซึ่งการดื่มน้ำอย่างเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะทำให้อัตราความเร็วใน การเผาผลาญอาหารขณะที่พักเร็วขึ้นเมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำน้อย หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอ
แก้ไขปัญหาได้ยากขึ้นแม้จะเคยทำมาแล้วก็ตาม
การศึกษาของ King College ในปี 2011 พบว่าภาวะขาดน้ำ ส่งผลกระทบต่อสมองของวัยรุ่นโดยตรง เพราะเมื่อขาดน้ำ สมองจะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้แม้แต่ปัญหาที่ต้องพบเจอเป็นประจำก็อาจจะแก้ไขได้ยากขึ้น ไม่เหมือนเวลาที่สมองได้รับน้ำอย่างเพียงพอ แต่อาการเหล่านี้จะหายไปก็ต่อเมื่อสมองได้รับน้ำอย่างเพียงพอค่ะ
รับประทานมากขึ้นผิดปกติ
การศึกษาในปี 2010 กับคน 45 คน โดยสถาบันวิจัยด้านสาธารณสุขและน้ำพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำอย่างน้อย 450 มิลลิลิตร ก่อนรับประทานอาหาร จะทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง 75 -90 แคลอรี่ เมื่อเทียบกับคนที่ดื่มน้ำน้อยซึ่งจะรับประทานมากขึ้น นอกจากนี้ผู้ที่ดื่มน้ำมาก ๆ จะ จะสามารถลดน้ำหนักลงได้กว่า 5 ปอนด์ (2.3 กิโลกรัม) ภายในเวลา 3 เดือน ซึ่งมากกว่าผู้ที่ไม่ยอมดื่มน้ำอีกด้วย
ผิวพรรณหย่อนคล้อยและหมองคล้ำ
มีการศึกษาหนึ่งพบว่า น้ำมีส่วนสำคัญในการทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และดูอ่อนเยาว์ ซึ่งหากเกิดภาวะขาดน้ำ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ก็จะทำให้ผิวพรรณเกิดริ้วรอย ดูแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังทำให้ผิวพรรณหมองคล้ำลงอีกด้วยล่ะค่ะ
หงุดหงิดง่าย
การดื่มน้ำไม่เพียงพอจนทำให้ร่างกายเกิดการขาดน้ำ เป็นสาเหตุทำให้อารมณ์แปรปรวนได้ โดยการศึกษาในปี 2009 ซึ่งทำการศึกษาเปรียบเทียบระหว่างผู้ที่ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 60-75 นาทีโดยไม่มีการดื่มน้ำ และกลุ่มที่มีการดื่มน้ำอย่างเพียงพอ พบว่าผู้ที่มีภาวะขาดน้ำ จะเกิดอาการอ่อนเพลีย สับสน หงุดหงิด และมีอาการซึมเศร้ามากกว่ากลุ่มที่มีการดื่มน้ำอย่างเพียงพอค่ะ
การดื่มน้ำไม่เพียงพอส่งผลเสียขนาดไหน หลาย ๆ คนก็คงจะได้ทราบกันแล้วใช่ไหมล่ะคะ เพราะฉะนั้นทางที่ดี เรามาดื่มน้ำกันให้มากขึ้นดีกว่า ดื่มน้ำเยอะ ๆ นอกจากจะดีกับร่างกายแล้วยังทำให้สดชื่นอีกด้วยนะ อ๊ะ ๆ แล้วอย่าหลงคิดว่าดื่มน้ำอะไรก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ เพราะยังไงก็ไม่มีเครื่องดื่มชนิดใดที่ดีกับร่างกายไปมากกว่าน้ำเปล่าแล้ว เอาล่ะ อ่านจบแล้ว รีบไปหยิบน้ำเปล่ามาดื่มกันเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก www.kapook.com
Thursday, December 18, 2014
Sunday, October 26, 2014
สมุนไพรดอกคำฝอย
ดอกคำฝอย
มารู้จักดอกคำฝอยที่เป็นส่วนประกอบในยาสตรี ตราโหรทศพรโอสถกันนะคะ
ดอกคำฝอย (Safflower) เป็นไม้ล้มลุก จัดเป็นพืชตระกูลเดียวกับทานตะวัน มีความสูง 40-130 ซม. ดอกจะออกเป็นสีเหลืองแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีแดงภายหลัง ผลแห้งไม่แตก เมล็ดเป็นรูปสามเหลี่ยม สีขาวขนาดเล็ก สมุนไพรไทยดอกคำฝอยมีถิ่นกำเนิดในตะวันออกกลาง
ในประเทศไทยบ้านเรามีแหล่งผลิตดอกคำฝอยที่สำคัญอยู่ทางภาคเหนือ
เพาะปลูกกันมากในอำเภอพร้าว อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอพาน
จังหวัดเชียงราย
ดอกคำฝอยเป็นสมุนไพรที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมุนไพร ที่ช่วยลดความอ้วนได้ เป็นยาเกี่ยวกับสตรีที่ช่วยรักษาอาการต่างๆ เกี่ยวกับระบบเลือดได้
เนื่องจากช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น ช่วยขยายหลอด
ป้องกันโรคหัวใจ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้ ฯลฯ
โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นยาสมุนไพรนั้นก็ได้แก่ ดอก (ทั้งดอกสดและดอกแห้ง),
เกสร, กลีบดอกที่เหลือจากผล, เมล็ด, และน้ำมันจากเมล็ด
สรรพคุณของคําฝอย
1.ช่วยบำรุงประสาทและระงับประสาท2.ช่วยรักษาโรคฮีสทีเรีย โรควิตกกังวลอย่างหนึ่งหรือโรคขาดความอบอุ่น
3.ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด เนื่องจากดอกคำฝอยมีกรดไลโนเลอิค (Linoleic Acid) อยู่มากซึ่งกรดชนิดนี้จะเข้าไปทำปฏิกิริยากับไขมันในเลือดและขับออกทาง ปัสสาวะและทางอุจจาระ จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานหัวหอม หรือกระเทียม ที่มีสรรพคุณเช่นเดียวกัน
4.ช่วยลดความอ้วน
5.ช่วยขยายหลอดเลือด และป้องโรคความดันโลหิตสูง
6.ช่วยสลายลิ่มเลือด จะมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้ที่ชอบกินของหวาน เพราะจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ทำให้เลือดเหนียวข้นจับตัวกันเป็นลิ่มเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ไม่ดี
7.ช่วยแก้โรคลมเนื่องจากเส้นเลือดในสมองแตก
8.ช่วยขับเหงื่อ
9.ช่วยรักษาอาการไข้หลังของคลอดของสตรี
10.ช่วยบำรุงโลหิต แก้โลหิตเป็นพิษ และช่วยฟอกโลหิต
11.ช่วยบำรุงหัวใจ ทำให้หัวใจแข็งแรง
12.ช่วยแก้หวัด น้ำมูกไหล
13.เป็นยาถ่าย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ
14. เมล็ดใช้เป็นยาขับปัสสาวะ
15.ช่วยบำรุงโลหิตประจำเดือนของสตรี ช่วยขับระดูโลหิตประจำเดือนของสตรี ช่วยกระจายเลือดแก้ประจำเดือนคั่งค้างมาไม่เป็นปกติ
16.ช่วยระงับอาการปวดประจำเดือนของสตรี
17.แก้อาการตกเลือด อาการปวดท้องหลังคลอด น้ำคาวปลาไม่หมด
18. ใช้ทารักษาโรคผิวหนังได้
19.ช่วยบำรุงคนเป็นอัมพาต
20.ใช้เป็นยากระตุ้นทางเพศ (Aphrodisiac)
21. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดไขมันในเลือด ลดอาการอักเสบ แก้แพ้ ช่วยต้านเชื้อชา เชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งฟันผุ
คำแนะนำในการใช้สมุนไพรดอกคำฝอย
-แม้ว่าคำฝอยจะมีสรรพคุณที่หลากหลาย แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อระบบเลือดได้หากไม่รู้จักใช้ให้ถูกวิธี ซึ่งแพทย์แผนจีนมักจะใช้ดอกคำฝอยร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นอยู่เสมอ จะไม่ใช้เป็นยาเดี่ยว ใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และไม่ควรใช้ในระยะยาว
-โทษของดอกคำฝอย การรับประทานอย่างต่อเนื่องหรือในปริมาณ ที่มากเกินไป อาจจะส่งผลทำให้โลหิตจางได้ มีผลทำให้มีเลือดน้อยลง มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย มีอาการวิงเวียนศีรษะ หรือกลายเป็นคนขี้โรคโดยไม่รู้ตัว
-การรับประทานในปริมาณมากจนเกินไปอาจจะทำให้มีประจำเดือนมากกว่าปกติ และอาจทำให้มีอาการมึนงง หรือมีผดผื่นคันขึ้นตามตัวได้
-สำหรับสตรีมีครรภ์ไม่ควรบริโภคสมุนไพรดอกคำฝอย เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้มีฤทธิ์เป็นยาบำรุงเลือดและช่วยขับประจำเดือน หากรับประทานหรือรับประทานในปริมาณมากๆ ก็อาจจะทำให้แท้งบุตรได้
-ควรระมัดระวังเมื่อใช่ดอกคำฝอยร่วมกับยาในกลุ่มต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด (Anticoagulant)
แหล่งอ้างอิง : frynn.com
ยาสตรี ตราโหรทศพรโอสถ มีส่วนผสมของดอกคำฝอย สิ่งที่ดีเหมาะสำหรับผู้หญิง
Saturday, October 25, 2014
สมุนไพร ว่านชักมดลูก
สมุนไพร ว่านชักมดลูก
ว่านชักมดลูก จัดอยู่ในพืชตระกูลขิง ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับขมิ้นชัน เป็นพืชที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีหลากหลายสายพันธุ์ ในประเทศไทยว่านชักมดลูกที่พบตามท้องตลาดจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธ์ุ
คือ 1.ว่านชักมดลูกตัวเมีย ซึ่งมีลักษณะหัวกลมรีแนวตั้ง มีแขนงสั้น
2.ว่านชักมดลูกตัวผู้ มีลักษณะแตกต่างจากว่านชักมดลุกตัวเมียตรงที่ หัวใต้ดินจะกลมแป้นมากกว่าและแขนงจะยาวมากกว่า ทำให้การซื้อในบางครั้งอาจจะจำแนกลำบาก เพราะบางครั้งเมื่อนำทั้งสองตัวมาเปรียบเทียบกันจะดูคล้ายกันมากและจะปลูกกันมากในจังหวัดเลย และเพชรบูรณ์
ทั้งนี้ได้พบว่ามีพืชชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับว่าชักมดลูกของไทยมาก และยังมีสรรพคุณคล้ายกันอีกด้วย ทำให้มีผู้เข้าใจผิดว่ามันเป็นว่านชักมดลูกที่มาจากประเทศไทย และยังมีสารสำคัญคนละกลุ่มอีกด้วย
สรรพคุณตามตำรายาไทย ใช้เหง้าว่านชักมดลูกรักษาอาการของสตรี เช่นประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร และไส้เลื่อน
ว่านชักมดลูกมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงคือเอสโตรเจน สารสำคัญของว่านตัวเมีย คือ กลุ่มไฟโตเอสโตรเจน เป็นสารที่ได้จากพืชในธรรมชาติที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนนั่นเอง
สารกลุ่มไฟโตเอสโตรเจนมีศักยภาพสำหรับรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยทอง ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวามและแสบร้อนผิวหนัง หงุดหงิด ไขมันในเลือดสูง ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น และที่สำคัญคือกระดูกพรุน ไฟโตเอสโตรเจนมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นและต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมและความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย และพัฒนาเป็นโรคเรื้อรัง รวมทั้งโรคมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ
ผลข้างเคียงของยาว่านชักมดลูก
1.มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยที่สุด แต่สามารถรับประทานต่อไปได้เลย
2.มีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศรีษะ ตัวร้อน เหมือนจะเป็นไข้มักเกิดในสตรีที่มีร่างกายไม่แข็งแรงแนะนำให้หยุดรับประทานสักพักให้หายเป็นปกติค่อยรับประทานต่อ
3.มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง และลำตัว หากไม่รุนแรงมากเกินไป ให้รับประทานต่อได้
4.มีอาการ ปวดหน้าอก ตึงหน้าอกหรือปวดมดลูก แนะนำให้ลดปริมาณการทานลงครึ่งหนึ่งพออาการดีขึ้นค่อยรับประทานปกติ
5.สำหรับสตรีวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน หลังจากรับประทานอาจจะมีประจำเดือนใหม่เกิดขึ้นได้ โดยคุณสามารถรับประทานต่อไป ประจำเดือนจะค่อยๆหมดไปเอง
ว่านชักมดลูกตัวเมียเป็นสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพสูงที่จะผลิตเป็นยา สำหรับสตรีวัยทอง เพราะสามารถป้องกันและรักษาครอบคลุมอาการที่สำคัญได้หมด สามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและไม่ต้องลงทุนมาก
แหล่งที่มา:http://www.pharmacy.mahidol.ac.th
ว่านชักมดลูก จัดอยู่ในพืชตระกูลขิง ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับขมิ้นชัน เป็นพืชที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ใต้ดิน มีหลากหลายสายพันธุ์ ในประเทศไทยว่านชักมดลูกที่พบตามท้องตลาดจะมีอยู่ด้วยกัน 2 สายพันธ์ุ
คือ 1.ว่านชักมดลูกตัวเมีย ซึ่งมีลักษณะหัวกลมรีแนวตั้ง มีแขนงสั้น
2.ว่านชักมดลูกตัวผู้ มีลักษณะแตกต่างจากว่านชักมดลุกตัวเมียตรงที่ หัวใต้ดินจะกลมแป้นมากกว่าและแขนงจะยาวมากกว่า ทำให้การซื้อในบางครั้งอาจจะจำแนกลำบาก เพราะบางครั้งเมื่อนำทั้งสองตัวมาเปรียบเทียบกันจะดูคล้ายกันมากและจะปลูกกันมากในจังหวัดเลย และเพชรบูรณ์
ทั้งนี้ได้พบว่ามีพืชชนิดหนึ่ง มีต้นกำเนิดอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับว่าชักมดลูกของไทยมาก และยังมีสรรพคุณคล้ายกันอีกด้วย ทำให้มีผู้เข้าใจผิดว่ามันเป็นว่านชักมดลูกที่มาจากประเทศไทย และยังมีสารสำคัญคนละกลุ่มอีกด้วย
สรรพคุณตามตำรายาไทย ใช้เหง้าว่านชักมดลูกรักษาอาการของสตรี เช่นประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องระหว่างมีประจำเดือน ตกขาว ขับน้ำคาวปลา แก้ธาตุพิการอาหารไม่ย่อย ริดสีดวงทวาร และไส้เลื่อน
ว่านชักมดลูกมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงคือเอสโตรเจน สารสำคัญของว่านตัวเมีย คือ กลุ่มไฟโตเอสโตรเจน เป็นสารที่ได้จากพืชในธรรมชาติที่ออกฤทธิ์คล้ายเอสโตรเจนนั่นเอง
สารกลุ่มไฟโตเอสโตรเจนมีศักยภาพสำหรับรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในสตรีวัยทอง ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวามและแสบร้อนผิวหนัง หงุดหงิด ไขมันในเลือดสูง ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น และที่สำคัญคือกระดูกพรุน ไฟโตเอสโตรเจนมีฤทธิ์ต้านออกซิเดชั่นและต้านการอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเสื่อมและความผิดปกติของเซลล์ในร่างกาย และพัฒนาเป็นโรคเรื้อรัง รวมทั้งโรคมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ
ผลข้างเคียงของยาว่านชักมดลูก
1.มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยที่สุด แต่สามารถรับประทานต่อไปได้เลย
2.มีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศรีษะ ตัวร้อน เหมือนจะเป็นไข้มักเกิดในสตรีที่มีร่างกายไม่แข็งแรงแนะนำให้หยุดรับประทานสักพักให้หายเป็นปกติค่อยรับประทานต่อ
3.มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง และลำตัว หากไม่รุนแรงมากเกินไป ให้รับประทานต่อได้
4.มีอาการ ปวดหน้าอก ตึงหน้าอกหรือปวดมดลูก แนะนำให้ลดปริมาณการทานลงครึ่งหนึ่งพออาการดีขึ้นค่อยรับประทานปกติ
5.สำหรับสตรีวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน หลังจากรับประทานอาจจะมีประจำเดือนใหม่เกิดขึ้นได้ โดยคุณสามารถรับประทานต่อไป ประจำเดือนจะค่อยๆหมดไปเอง
ผลข้างเคียงของยาว่านชัก
มดลูก
มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยที่สุด
แต่ก็มีคำแนะนำว่าสามารถรับประทานต่อไปได้เลย
มีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อน มีอาการไอเหมือนจะเป็นไข้
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้สตรีที่ร่างไม่แข็งแรง
และมีคำแนะนำว่าให้หยุดรับประทานสักพัดจนกว่าอาการไข้จะหายไป
แล้วให้รับประทานต่อในปริมาณที่ลดลงครึ่งหนึ่ง
หรือสำหรับผู้ไม่ได้มีอาการไข้ให้เริ่มรับประทานในปริมาณน้อยๆก่อนแล้วค่อย
เพิ่มปริมาณในการรับประทานตามฉลากสมุนไพร
มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนังและตามลำตัว ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อย
มีคำแนะนำว่าถ้าหากอาการไม่รุนแรงมากจนเกินให้รับประทานต่อได้
แต่ถ้าผื่นมากก็ให้ลปริมาณลงครึ่งหนึ่ง
หากอาการดีขึ้นค่อยกลับมารับประทานในปริมาณที่กำหนด
มีอาการปวดหน้าอก ตึงหน้าอก หรือปวดมดลูก ช่องคลอด
แนะนำว่าหากมีอาการดังกล่าวให้ลดปริมารยาลงครึ่งหนึ่ง
หลังจากอาการดีขึ้นค่อยรับประทานในปริมาณที่กำหนด
สำหรับสตรีวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน
หลังจากรับประทานอาจจะมีประจำเดือนใหม่เกิดขึ้นได้
โดยคุณสามารถรับประทานต่อไปได้ ประจำเดือนก็จะค่อยๆหมดไปเอง
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
z]
ผลข้างเคียงของยาว่านชัก
มดลูก
มีอาการตกขาวมากกว่าปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยที่สุด
แต่ก็มีคำแนะนำว่าสามารถรับประทานต่อไปได้เลย
มีอาการวิงเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ตัวร้อน มีอาการไอเหมือนจะเป็นไข้
ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้สตรีที่ร่างไม่แข็งแรง
และมีคำแนะนำว่าให้หยุดรับประทานสักพัดจนกว่าอาการไข้จะหายไป
แล้วให้รับประทานต่อในปริมาณที่ลดลงครึ่งหนึ่ง
หรือสำหรับผู้ไม่ได้มีอาการไข้ให้เริ่มรับประทานในปริมาณน้อยๆก่อนแล้วค่อย
เพิ่มปริมาณในการรับประทานตามฉลากสมุนไพร
มีผื่นขึ้นบริเวณผิวหนังและตามลำตัว ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อย
มีคำแนะนำว่าถ้าหากอาการไม่รุนแรงมากจนเกินให้รับประทานต่อได้
แต่ถ้าผื่นมากก็ให้ลปริมาณลงครึ่งหนึ่ง
หากอาการดีขึ้นค่อยกลับมารับประทานในปริมาณที่กำหนด
มีอาการปวดหน้าอก ตึงหน้าอก หรือปวดมดลูก ช่องคลอด
แนะนำว่าหากมีอาการดังกล่าวให้ลดปริมารยาลงครึ่งหนึ่ง
หลังจากอาการดีขึ้นค่อยรับประทานในปริมาณที่กำหนด
สำหรับสตรีวัยทองหรือวัยหมดประจำเดือน
หลังจากรับประทานอาจจะมีประจำเดือนใหม่เกิดขึ้นได้
โดยคุณสามารถรับประทานต่อไปได้ ประจำเดือนก็จะค่อยๆหมดไปเอง
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
ผลข้างเคียงดังกล่าวเป็นผลมาจากกลไกลการทำงานของว่านชักมดลูก และไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
ว่านชักมดลูกตัวเมียเป็นสมุนไพรไทยที่มีศักยภาพสูงที่จะผลิตเป็นยา สำหรับสตรีวัยทอง เพราะสามารถป้องกันและรักษาครอบคลุมอาการที่สำคัญได้หมด สามารถนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและไม่ต้องลงทุนมาก
แหล่งที่มา:http://www.pharmacy.mahidol.ac.th
ซึ่งจะมีลักษณะของหัวกลม
รีตามแนวตั้ง มีแขนงสั้น (ตามภาพแรก) และ ว่านชักมดลูกตัวผู้ (Curcuma
latifolia) จะมีลักษณะจะมีลักษณะต่างจากตัวเมียตรงที่
หัวใต้ดินจะกลมแป้นมากกว่า และแขนงจะยาวมากกว่า (ตามภาพที่สอง)
ทำให้การซื้อมาใช้บางครั้งอาจจะจำแนกลำบาก
เพราะบางครั้งเมื่อนำมาเทียบกันทั้งตัวเมียและตัวผู้จะคล้ายกันมาก
โดยจะปลูกมากในจังหวัดเลย และเพชรบูรณ์
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
ซึ่งจะมีลักษณะของหัวกลม
รีตามแนวตั้ง มีแขนงสั้น (ตามภาพแรก) และ ว่านชักมดลูกตัวผู้ (Curcuma
latifolia) จะมีลักษณะจะมีลักษณะต่างจากตัวเมียตรงที่
หัวใต้ดินจะกลมแป้นมากกว่า และแขนงจะยาวมากกว่า (ตามภาพที่สอง)
ทำให้การซื้อมาใช้บางครั้งอาจจะจำแนกลำบาก
เพราะบางครั้งเมื่อนำมาเทียบกันทั้งตัวเมียและตัวผู้จะคล้ายกันมาก
โดยจะปลูกมากในจังหวัดเลย และเพชรบูรณ์
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
(Curcuma comosa Roxb.)
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
(Curcuma comosa Roxb.)
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
(Curcuma comosa Roxb.)
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
(Curcuma comosa Roxb.)
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
© Copyright 2014 Frynn All Right Reserved. | อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : http://frynn.com/%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81/
Monday, September 29, 2014
ยาเกร็กคู สมุนไพรบำรุงร่างกาย: ยาเกร็กคู ดีอย่างไร
ยาเกร็กคู สมุนไพรบำรุงร่างกาย: ยาเกร็กคู ดีอย่างไร: ยาเกร็กคู ดีจริงหรือ มีเพื่อน และหลายคนถามมา มันเป็นยาอะไร เห็นโฆษณาในทีวี website เต็มไปหมด แล้วมันคือยาอะไร ยาเกร็กคู เป็น ยาบำ...
ยาเกร็กคู ดีอย่างไร
ยาเกร็กคู ดีจริงหรือ มีเพื่อน และหลายคนถามมา มันเป็นยาอะไร เห็นโฆษณาในทีวี website เต็มไปหมด แล้วมันคือยาอะไร ยาเกร็กคู เป็น ยาบำรุงร่างกาย ผลิตจากสมุนไพรหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สรรพคุณส่วนใหญ่เน้นในเรื่องการไหลเวียนของเลือด เพราะหากเลือดไหลเวียนดี หลิน หยางดี ร่างกายก็จะดีตาม วึ่งสูตรต้นตำหรับยามาจากแพทย์จีน และผ่านการเพิ่มตัวยาให้มีสรรพคุณครอบจักรวาล คนที่ร่างกายไม่ดีหากกินเข้าไป จะรู้สึกร่างกายดีขึ้นเหมือนยาอายุวัฒนะ กระปั้กระเป่า แข็งแรงขึ้น ซึ่งจริงๆ แล้วยานี้กินได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง แต่จะโด่งดังในผู้ชาย เพราะผู้ชายสูงอายุ หรือมีปัญหาเรื่องทางเพศ กินไป จะรู้สึกคึ้งดั้ง ขึ้นมาอีกครั้ง คนแก่อายุ 70 ยังเตะปี้บดัง คนที่ตอนเช้าตื่นนอนมาเหมือนไม่มีอยู่ ก็จะกลับมาตื่น เหมือนเป็นวัยรุ่นอีกครั้ง แต่จริงๆ อยากที่บอกหากเลือดไหลเวียนดี ร่างกายดี เรื่องพวกนี้ก็กลับมาเอง แต่หลายคนก็ยังเข้าใจผิดคิดว่า เกร็กคู คือไวอากร้า หากใครเคยกินทั้งสองอย่างจะรู้ว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ยาเกร็กคู กินเข้าไปมีอารมย์ ถึงจะมีอาการตื่นตัว แต่ไวอากร้ากินไปอย่างไรก็เกิดขึ้น นอกจากเรื่องอย่างว่าแล้วจริงๆ เกร็กคู ยังช่วยคนที่มีปัญหาเรื่อง เบา หวาน หรือความดันด้วย แต่ก็ไม่ใช่กินแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเป็นแค่ ยาบำรุงร่างกาย อาหารเสริม ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรงดีขึ้น ต้องประกอบกับการกิน และการออกกำลังกาย แต่ก็สามารถกินควบคู่กับการกินยาแผนปัจจุบัน อีกอย่างคนที่ปวดเหมื่อยบ่อยๆ จะเห็นผลค่อนข้างมาก เพราะเลือดลมไหวเวียนดีพวกนี้ก็จะตามมา รู้สึกดีขึ้น
Sunday, September 7, 2014
ยาเกร็กคู สมุนไพรบำรุงร่างกาย: เห็ดหลินจือส่วนประกอบสำคัญในยาเกร็กคู
ยาเกร็กคู สมุนไพรบำรุงร่างกาย: เห็ดหลินจือส่วนประกอบสำคัญในยาเกร็กคู: สมุนไพร สำคัญที่มีในตัว ยาเกร็กคู ได้แก่เห็ดหลินจือ หรือในชื่อ Lingzhi mushroom หรือ Reishi mushroom ชื่อวิทยาศาสตร์ Ganoderma luc...
Thursday, September 4, 2014
ยาเกร็กคู สมุนไพรบำรุงร่างกาย: ทำไม ยาเกร็กคู เป็นที่สนใจในตลาดครองยอดขายอันดับ 1...
ยาเกร็กคู สมุนไพรบำรุงร่างกาย: ทำไม ยาเกร็กคู เป็นที่สนใจในตลาดครองยอดขายอันดับ 1...: ทำไม ยาเกร็กคู เป็นที่สนใจในตลาดครองยอดขายอันดับ 1 ของยาประเภทนี้ หากคนที่สนใจเรื่องสมุนไพรจีน และเคยอ่านหรือศึกษาเกี่ยวกับยาสมุนไพรมาบ้า...
ทำไม ยาเกร็กคู เป็นที่สนใจในตลาดครองยอดขายอันดับ 1 ของยาประเภทนี้ หากคนที่สนใจเรื่องสมุนไพรจีน และเคยอ่านหรือศึกษาเกี่ยวกับยาสมุนไพรมาบ้าง คงเข้าใจได้ไม่ยาก เกร็กคู มีชื่อเสียงจากการบอกต่อๆกันในหมู่ผู้ใช้ ก่อนที่จะมีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทางทีวี เพราะในตัวยาเกร็กคูประกอบด้วยสมุนไพรชั้นดีที่มีชื่อเสียงหลายชนิด โดยเฉพาะตังถังเฉ้า ที่ถือว่าเป็นพระเอกที่สุด สมุนไพรนี้ เป็นที่มีชื่อเสียงเมื่อเป็นข่าวในสื่อต่างๆ จากนายพลชื่อดัง ในคลิบเสียงที่มี ตังถังเฉ้าเป็นสมุนไพรจีนที่ผ่านการค้นคว้ามายาวนานด้านสรรพคุณ จนเป็นที่ยอมรับในทางสากล ว่ามีสรรพคุณยอดเยี่ยมเพียงใด
จริงๆแล้ว ชื่อจริงๆของมันก็คือ ตังถั่งแห่เช่า หรือที่เราเรียกกันอีกชื่อว่า "ถั่งเช่า" แปลเป็นไทยได้ว่า "ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า" ที่ถูกเรียกว่า "หญ้าหนอน" ก็เพราะว่า ยาสมุนไพรชนิดนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน ซึ่งเป็นตัวหนอนของผีเสื้อชนิดหนึ่ง มี และบนตัวหนอนนั้น มีเห็ดชนิดหนึ่งเติบโตอยู่ในตัวหนอน เนื่องจากสมุนไพรชนิดนี้ในฤดูหนาวนั้นจะเหมือนหนอนแต่ฤดูร้อนกลับงอกเป็นต้นหญ้าได้ จึงมีผู้คนเรียกว่า "หญ้าหนอน" โดยสถานที่ที่พบของถั่งเฉ้าได้บ่อยนั้น ส่วนมากเพาะในบริเวณภาคใต้ในมณฑลชิงไห่ เขตซางโตวในธิเบต นอกเหนือจากนี้ ยังมีเพาะเห็ดในมณฑลเสฉวน ยูนนาน กุ้ยโจว ถั่งเช่านี้ เก็บเกี่ยวในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดตัวหนอนขึ้นจากดินแล้ว ต้องนำมาล้างน้ำให้สะอาด ตากให้แห้งก็สามารถนำมาใช้เป็นยาได้ ส่วนการเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง ระวังอย่าให้ชื้น เพราะอาจทำให้สมุนไพรด้อยคุณภาพลงไป
แพทย์แผนจีนผู้มีชื่อเสียง จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งนครเซี่ยงไฮ้ ได้อ้างถึงยาตำราจีน ได้กล่าวถึงประโยชน์ของถั่งเช่า ว่ามีสรรพคุณรักษาปอด เสริมหยางไต หยุดการเลือดออกทางเสมหะ รักษาการไอเรื้อรัง ช่วยให้น้ำอสุจิแข็งแรง บำรุงสตรีให้มีบุตรง่าย ปรับประจำเดือน ให้เลือดลมดีขึ้น โดยในการกินสามารถกินแบบสดหรือจะนำมาต้มหรือทำเป็นผง ผสมกับโสมคน สูตรนี้ช่วยบำรุงโดยเฉพาะกับผู้ที่อวัยวะเพศไม่แข็งแรง และนายแพทย์บุญเกียรติ เบญจเลิศ (ผู้เชี่ยวชาญการแพทย์แผนจีน จากมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนแห่งนครเซี่ยงไฮ้ ) แพทย์ไทยผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรจีน ได้ลงบทความ ว่ามียาตำราจีนจำนวนมากได้พูดถึงประโยชน์ของถั่งเช่า ทั้งนี้ถั่งเช่าเมื่อกินเปล่าๆ มีรสหวานนิดๆ เป็นธาตุร้อน ใช้เสริมหยาง มีสรรพคุณบำรุงปอดและไต จึงมักนำไปใช้รักษาคนที่ปอดและไตไม่แข็งแรง และผู้มีอาการไอและหอบ ส่วนผลวิจัยล่าสุด พบว่าสมุนไพรชนิดนี้ช่วยยับยั้งมะเร็งที่ลำคอและจมูก รวมถึงมีสารคล้ายแอนตี้ไบโอติก สามารถแก้อักเสบรวมถึงช่วยด้านอารมณ์ ทำให้จิตใจสงบ ไม่ขี้หยุดหงิด อีกทั้งในห้องทดลองพบว่าถั่งเช่า ช่วยเสริมพลังการฆ่าเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาว สร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย ขยายหลอดลม มีคุณสมบัติคล้ายอะดรีนาลีนของร่างกาย เมื่อกินเข้าไปจะบรรเทาอาการหอบหืด ช่วยให้ฮอร์โมนเพศชายแข็งแรง สำหรับคนที่มีอาการความดันสูงหรือใจสั่น หัวใจเต้นเร็วมาก ถั่งเช่าจะช่วยยับยั่งได้
อาจารย์ ทศพร เจ้าของผลิตภัณฑ์ ตราโหรทศพลโอสภ จึงได้นำทั้ง ตังถังเฉ้า และ โสม เห็ดหลินจือ ตลอดจนสมุนไพรจีน ไทยชื่อดังต่างๆ เกือบ 20 ชนิด มาบรรจุใน ยาเกร็กคู ซึ่งในผ่านการวิจัยและทดสอบ ตลอดจนได้การรับรอง มีเลขทะเบียนยาเลขที่ G 481/53 แล้วว่ามีสรรพคุณที่ลูกค้าได้ไปทดลองแล้วว่าดีอย่างไร และเมื่อมีการซื้อไปทดลองกิน สุขภาพร่างกายดีขึ้น อีกทั้งเรื่องทางเพศสำหรับคนที่มีปัญหา ได้ผลทุกคน ทำให้ลูกค้าบอกกันต่อๆกันไปจนเกร็กคูครองส่วนแบ่งการตลาดอันดับ 1 ในยาประเภทนี้
ป้ายกำกับ:
เกร็กคู,
เกร็กคู ราคา,
บำรุงร่างกาย,
ยาเกร็กคู,
เห็ดหลินจือ
Tuesday, August 19, 2014
เก๋ากี้ ยอดสมุนไพรจีน ยาเกร็กคู
เก๋ากี้ หรือ ชื่อภาษาอังกฤษ โกจิเบอร์รี่ (Goji Berry) หรือวูล์ฟเบอร์รี่ (Wolfberry)
พวกเราอาจไม่รู้จักชื่อต่างๆ เหล่านี้ว่ามันเป็นสมุนไพรอะไร แต่ใครบางคนกินต้มจืด หรือไก๋ตุ๋นยาจี เราจะเห็นมีเม็ดแดงๆ คล้ายลูกเกดสีแสดอยู่ในชามนั้นๆ และยังพบได้ในอีกไม่ยากในหลากเมนูเด็ดย่านเยาวราช หรืออาหารจีนตามเหลา หรือในโต๊ะจีน เก๋ากี้ หรือ ลูกเบอร์รี่แห่งเอเชียที่กำลังมาแรงสุด ๆ ผลตากแห้งสามารถนำมาทานเล่น ใส่ในเมนูอาหารตำรับไทย จีน และฝรั่ง หรืออาจมาในรูปของน้ำผลไม้ ทุกวันนี้เก๋ากี้ถูกตอกหมุดให้เป็นหนึ่งใน "ซูเปอร์ฟู้ด" โดยเป็นสมุนไพร ที่มี วิตามินซี วิตามินเอ และอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระกลุ่มแคโรทีนอยด์ อย่างเบต้าแคโรทีนที่อัดแน่น มีงานวิจัยหลายงาน ได้ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับสรรพคุณของ เก๋ากี้ และในบทความทางวิชาการของสถาบันวิจัยโภชนาการปักกิ่งในปี ค.ศ. 1988 ได้ถูกนำมาพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง เกี่ยวกับการค้นพบ (ที่ยังไม่มีการรับรอง และมีการถกเถียงโจมตี) ว่าผลเก๋ากี้ตากแห้งนั้นเมื่อเทียบจากน้ำหนักที่เท่ากัน จะให้เบต้าแคโรทีนสูงกว่าแครอท และมีวิตามินซีสูงกว่าส้มถึงห้าร้อยเท่า ซึ่งวิตามินซีนั้นทุกวันนี้เรารู้กันดีว่าเป็นหนึ่งในสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงอานุภาพในด้านคงความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารที่สำคัญมากมาย ช่วยป้อนออกซิเจนใส่เกียร์ความแรงในการออกกำลังกาย แถมยังลดอาการปวดเมื่อยหลังออกกำลังกาย
และจากการศึกษา ยังพบอีกว่าเมื่อวัดค่า ORAC (Oxygen Radical Absorbance Capacity) หรือค่าประสิทธิภาพในการดูดจับอนุมูลของออกซิเจน ซึ่งเป็นวิธีที่พัฒนาโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟส์ เมืองบอสตัน พบว่า โกจิเบอร์รี่ให้ค่า ORAC สูงกว่าบรรดาเบอร์รีที่โดดเด่นด้านสารต้านอนุมูลอิสระ อาทิ บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่ หรือแครนเบอร์รี่ อยู่หลายช่วงตัว การศึกษาในประเทศญี่ปุ่นชี้ว่า การรับประทานโกจิเบอร์รี่ประมาณ 10-30 กรัม ต่อวันถือว่ากำลังดี ส่วนศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ผู้โด่งดังอย่าง คริส คิลแฮม ในรัฐแมสซาซูเซตส์ กล่าวกับนิตยสาร Growing สหรัฐฯ ว่า แน่นอนว่าไม่ได้รักษาทุกโรค แต่ต้องยอมรับว่าโกจิเบอร์รี่ถือเป็น "สุดยอดในด้านสารต้านอนุมูลอิสระโดยเฉพาะสารซีแซนทีนที่ดีอย่างมากต่อดวงตา" ซึ่ง เก๋ากี้ นี้ เป็นสมุนไพรสำคัญในตัว ยาเกร็กคู ยาบำรุงร่างกายชื่อดังขณะนี้
ป้ายกำกับ:
เกร็กคู,
ปู่เซิน,
ยาเกร็กคู,
ยาบำรุงร่างกาย,
สมุนไพร
Sunday, August 17, 2014
ภาวะหยิน หยาง กับ อาหาร และสมุนไพรบำรุงร่างกาย
การแพทย์แผนจีน มีแนวความคิดว่า “อาหารและยามีที่มาเดียวกัน” อาหารและยามีความเกี่ยวข้อง การค้นพบยาจำนวนมาก เป็นไปโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่มาจากการสังเกตุุในการหาอาหารเพื่อการดำรงอยู่ โดยเมื่อทานอาหารบางชนิด สังเกตุได้ว่าไปช่วยในเรื่องทางยาในการรักษาโรค จึงเห็นได้ว่าสูตรตำรับอาหารจีน โดยเฉพาะสูตรตำราหลวงจะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่จะมีการนำสมุนไพรร่วมอยู่ด้วย พร้อมทั้งบรรยายสรรพคุณในการรักษาโรค ตัวอย่าง อาหารสมุนไพรจะพบได้ตามร้านอาหารและภัตตาหาร
มาประกอบอาหารด้วย อาหารและยาถือว่ามีคุณลักษณะที่เหมือนกัน คือ มีคุณสมบัติทั้ง ๔ และมีรสทั้ง ๕
ในชีวิตปกติ เรากินอาหาร เราจะคิดว่าต้องกินอาหารให้ครบ ๕ หมู่ ตามที่ได้มีการสอนและวิจัยกันมา ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน เกลือแร่ และวิตามิน ในปริมาณและสัดส่วนที่เหมาะสมในแต่ละช่วงอายุ เพื่อให้มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ซึ่งจะความสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ ที่จะพยายามวิเคราะห์แยกแยะส่วนประกอบระดับโมเลกุล ชีวเคมี ระดับพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต และเสริมสร้างสารที่จำเป็นในรูปแบบของสารอาหารประเภทต่างๆ
เช่นเดียวกัน สำหรับ คุณสมบัติทั้ง ๔ คล้ายๆกับฤดูกาลและสภาพร่างกาย คือ เย็น สุขุม (ค่อนข้างเย็น) ร้อน อุ่น คุณสมบัติทั้ง ๔ นำมาประยุกต์ในการรักษาโรคอย่างไร การแพทย์จีนอาศัยยาหรืออาหารที่มีคุณสมบัติเย็น สุขุม(ค่อนข้างเย็น) ไปรักษาโรคที่มีลักษณะร้อน(หยาง) และใช้อาหารที่มีคุณสมบัติ ร้อน อุ่น ไปรักษาโรคที่มีลักษณะเย็น(ยิน) รสทั้ง ๕ ของอาหาร ได้แก่ รสเผ็ด รสหวาน รสเปรี้ยว รสขม รสเค็ม
รสเผ็ด มีสรรพคุณกระจาย แผ่ซ่าน ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดลม ช่วยขับความชื้นและลมในระดับผิว (แพทย์แผนจีนถือว่า การกระทบความชื้นหรือลม ทำให้เกิดโรคได้โดยความชื้นและลมจะผ่านจากระดับผิวหนังเข้ามา การใช้ยาหรืออาหารรสเผ็ดจะช่วยขับความชื้นหรือลมออกมา ทำให้หายจากโรคได้) ช่วยสลายการอุดตันของเลือดและลมปราณ
รสหวาน มีสรรพคุณในการบำรุง เสริมสร้างระบบกระเพาะอาหารและม้าม ลดการปวด การเกร็ง ทำให้ฤทธิ์ยากลมกล่อม มักใช้ยารสหวานไปบำรุงโรคที่เกิดจากภาวะพร่อง
รสเปรี้ยว มีสรรพคุณในการเก็บ พยุง เหนี่ยวรั้ง จึงใช้รักษาโรค เช่น เหงื่อออกมากจากภาวะพร่อง ไอเรื้อรัง ท้องเสียเรื้อรัง น้ำกามเคลื่อน ปัสสาวะบ่อย ตกขาวเรื้อรัง เป็นต้น
รสขม มีสรรพคุณในการขจัด ร้อน สลายไฟ (ความร้อนในตัว) ลดการไอ การอาเจียน ช่วยการขับถ่ายในคนที่ท้องผูกจากความร้อนในตัวสูง
รสเค็ม มีสรรพคุณในการสลายหรือทำให้นิ่ม(สลายก้อนแข็ง) ช่วยระบาย แก้ท้องผูก รักษาฝีหนอง ก้อนธัยรอยด์ (จากขาดเกลือไอโอดีน) ก้อนในท้อง
อาหารที่มีคุณสมบัติและรสคล้ายกันจะมีสรรพคุณใกล้เคียงกัน แต่อาหารหรือสมุนไพรบางชนิดอาจมีคุณสมบัติเหมือนกันแต่รสต่างกัน บางชนิดมีคุณสมบัติต่างกันแต่รสเหมือนกัน สรรพคุณย่อมต่างกันด้วย เช่น
อาหารและยาคุณสมบัติเย็นและรสขม ใช้ ขับร้อนความชื้น ,อาหารและยาคุณสมบัติเย็นและรสหวาน ใช้ ขับร้อนและบำรุง, อาหารและยาคุณสมบัติอุ่นและรสเผ็ด ใช้ ขับความร้อนและลม, อาหารและยาคุณสมบัติเย็นและรสเผ็ด ใช้ ขับความร้อนและลม
ดังนั้นในการเลือกรับประทาน อาหารและยา ต้องพิจารณาคุณสมบัติและรสควบคู่กันไปด้วย อีกทั้งในความเป็นจริง อาหารและยาสมุนไพรที่เหมาะสม แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน เพราะ ร่างกายของคนเราในแต่ละเพศ วัย รูปร่างต่างกัน รวมทั้งพื้นฐานของธาตุทั้งห้า (ปัญจธาตุ) ก็ต่างกัน เช่น
- คนอ้วน คนแก่ ผู้หญิง มักเป็นภาวะหยิน
- คนผอม เด็ก ผู้ชาย มักเป็นภาวะหยาง
- อาการรสเค็ม ขม เปรี้ยว จัดเป็นหยิน
- อาหารรสเผ็ด หวาน จัดเป็นหยาง
แต่ผู้ชายอ้วนบางรายอาจเป็นภาวะยินหรือหยางก็ได้ขึ้นกับธาตุภายในร่างกาย และอาหารที่กินหรือภาวะแวดล้อมที่มากระทำต่อร่างกาย การกินอาหารลักษณะต่างๆ จึงควรเข้าใจถึงภาวะพื้นฐานของร่างกายว่าเป็นยินหรือหยาง เลือกลักษณะอาหารที่กินให้สอดคล้องภาวะของภูมิอากาศ ฤดูกาล ช่วงเวลาที่กิน(เช้า-หยาง,กลางคืน-ยิน) และสภาพของร่างกาย จึงจะสร้างภาวะสมดุลของร่างกาย ตัวอย่าง คนบางคน ภาวะปกติรู้สึกร้อนง่าย คอแห้ง คอขม ผอม ผิวหนังแห้ง แพทย์แผนจีน เรียกลักษณะนี้ว่า ภาวะยินพร่อง ทำให้มีไฟในร่างกายมาก คนประเภทนี้ ควรกินอาหารประเภทคุณสมบัติเย็น-หวาน หรือเย็น-รสเค็ม ซึ่งเป็นอาหารที่มีสรรพคุณเพิ่มยินขับรอน เช่น สาลี่ อ้อย เนื้อเป็ด ปลิงทะเล ไม่ควรกินอาหารคุณสมบัติอุ่นและเผ็ด เช่น หัวหอม ขิง พริกไทย เป็นต้น
คนบางคนภาวะปกติสีหน้าขาวซีด เบื่ออาหาร ไม่มีเรี่ยวแรง เหงื่อออกมาก มือเท้าเย็น แพทย์แผนจีนเรียกลักษณะนี้ว่าภาวะหยางพร่องทำให้ความเย็นแกร่ง คนประเภทนี้ควรกินอาหารที่มีลักษณะอุ่นหวาน เพื่อเพิ่มหยาง เช่น กุยช่าย เนื้อไก่ เนื้อแพะ เนื้อสันหมู ซี่โครงวัว เกาลัด ฯลฯ ส่วนพวกอาหารที่มีคุณสมบัติอุ่นไม่ควรกินมากเกินควร เช่น ขิง พริกไทย หัวหอม แม้จะให้คุณสมบัติหยางแก่ร่างกาย แต่เนื่องจากมีรสเผ็ดที่มีลักษณะกระจายแผ่ซ่าน ทำให้สูญเสียพลัง
หญิงหลังคลอด อยู่ในภาวะสูญเสียเลือด พลังและสารจำเป็นอย่างมาก ต้องการการปรับเปลี่ยนร่างกายให้กลับสู่สภาพเร็วที่สุด อาหารหญิงหลังคลอดมักแนะนำ ขิง ผัดไก่ (ไก่มีคุณสมบัติหยาง-รสหวาน ขิงมีรสเผ็ดร้อน) เพื่อให้มีการบำรุงกระเพาะ ม้าม เพิ่มธาตุไฟ ช่วยการไหลเวียนเลือดและขับความชื้น ทำให้ขับน้ำคาวปลา และมดลูกเข้าอู่เร็วขึ้น งดอาหารที่มีลักษณะเย็น รสขม เปรี้ยว เค็ม เพราะจะทำให้เพิ่มคุณสมบัติของยิน เพิ่มความชื้น เก็บกักของเสีย น้ำ ขับความร้อนในร่างกาย ซึ่งไม่สอดคล้องกับภาวะของหญิงหลังคลอด บางครั้งรสของอาหารก็นำมาผสมผสานเข้าด้วยกันเพื่อให้เกิดรสกลมกล่อม และมีคุณสมบัติทางยาด้วย เช่น น้ำบ๊วย น้ำมะนาว ซึ่งมีการเติมรสหวานเข้าไปทำให้เกิดรสเปรี้ยว หวาน รสเปรี้ยว ช่วยดึงรั้ง พยุงการเสียน้ำ แก้กระหายน้ำ และรสหวานก็ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ไม่อ่อนเพลียเนื่องจากความร้อน
น้ำต้มขิงใส่น้ำตาลทรายแดง รสเผ็ดร้อนช่วยขับความเย็น ความชื้น รสหวานช่วยเพิ่มบำรุงพลังไม่ให้สูญเสียพลังจากการกระจาย ทำให้สามารถรักษาไข้หวัดจากการดูดความเย็น ความชื้นได้โดยร่างกายไม่อ่อนเพลีย ที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นว่าแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญของอาหาร เฉกเช่นยาสมุนไพรในการรักษาโรค คนโบราณกล่าวว่า “การบำรุงด้วยยาไม่ดีเท่าบำรุงด้วยอาหาร” เพราะเหตุผลยา คือ อาหาร อาหาร คือ ยา อาหารที่เหมาะสมและสอดคล้องสามารถปรับสมดุลร่างกายได้ และสามารถหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาซึ่งมีฤทธิ์แรงกว่าอาหาร
____________________________________________________________________
ป้ายกำกับ:
เกร็กคู,
บำรุงร่างกาย,
ปู่เซิน,
ยาบำรุงร่างกาย,
สมุนไพร,
เห็ดหลินจือ
Saturday, August 9, 2014
เห็ดหลินจือส่วนประกอบสำคัญในยาเกร็กคู
สมุนไพร สำคัญที่มีในตัว ยาเกร็กคูได้แก่เห็ดหลินจือ หรือในชื่อ Lingzhi mushroom หรือ Reishi mushroom ชื่อวิทยาศาสตร์ Ganoderma lucidum (Curtis) P. Karst บางผู้คนจะเรียกว่า เห็ดหมื่นปี จัดเป็นยาจีนที่ใช้กันมายาวนานกว่า 2,000 ปีแล้ว (Chinese traditional medicine) ใช้กันนับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉินซีฮ่องเต้เป็นต้นมา
เห็ดหลินจือ มีหลายสายพันธุ์ แต่ที่นิยมและมีสรรพคุณทางยาที่ดีที่สุดคือ สายพันธุ์สีแดง หรือ เห็ดหลินจือแดง ซึ่งจะมีสารพอลิแซ็กคาไรด์ (Polysaccharide) ซึ่งจะช่วยยับยั้งและรักษาอาการต่างๆ (ประโยชน์ด้านล่าง) โดยแต่ละชนิดจะมีปริมาณสารพอลิแซ็กคาไรด์ในปริมาณที่แตกต่างกันออกไป เห็ดหลินจือนี้เป็นเทพเจ้าแห่งชีวิต ที่มีพลังมหัศจรรย์นักวิทยาศาสตร์พบว่าในเห็ดชนิดนี้มีสารต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 250 ชนิด !! เป็นยาบำรุงร่างกายและใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุ นอกจากนี้ยังช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รักษาโรคต่างๆได้หลายโรค และยังปลอดภัยไม่มีสารพิษใดๆ ต่อกับร่างกาย !
ในตลาดยาสมุนไพรในประเทศไทย มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับเห็ดหลินจือมาก แต่เห็ดหลินจือที่ดี ต้องดูขั้นตอนการเพาะปลูก เพราะเห็ดหลินจือที่จะมีคุณภาพดีนั้น จะต้องได้รับการเพาะเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม ทั้งความชื้น แสงสว่าง รวมไปถึงสารอาหารที่ได้รับ และสิ่งที่ต้องดูอีกเรื่องก็คือขั้นตอนการนำมาผลิต ตรงนี้ก็สำคัญเพราะเป็นกระบวนการที่จะต้องสกัดพอลิแซ็กคาไรด์จากเห็ดออกมาให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังรวมไปถึงบรรจุภัณฑ์ที่ต้องให้ความสนใจด้วย โดยต้องเป็นบรรจุ ภัณฑ์ที่สามารถกันความชื้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเห็ดชนิดนี้จะไวต่อความชื้นเป็นพิเศษและความชื้นจะทำให้เห็ดหลินจือขึ้นราได้นั่นเอง
สรรพคุณของเห็ดหลินจือเห็ดหลินจือสรรพคุณใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย
ช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สีหน้าแจ่มใส
ช่วยบำรุงและรักษาสายตา
สรรพคุณเห็ดหลินจือใช้เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยทำให้อายุยืนยาว
ช่วยชะลอแก่ ชะลอวัย
ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง
ช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ให้พลังชีวิตมากขึ้น
ช่วยส่งเสริมระบบการไหลเวียนของเลือดให้ดียิ่งขึ้น
ช่วยทำให้ความจำดีขึ้น
ช่วยผ่อนคลายระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้นอนหลับได้สนิท
ช่วยทำให้ประสาทสัมผัสต่างๆ ดีขึ้น
สรรพคุณช่วยรักษาและต่อต้านมะเร็ง โดยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็
ช่วยแก้พิษจากรังสี คีโม เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม ท้องเสียอักเสบจากการฉายรังสี อาการปวดจากพิษบาดแผล
ช่วยลดความดันโลหิตและรักษาโรคความดันโลหิตสูง
ช่วยปรับความดันโลหิตทั้งสูงและต่ำให้สมดุล
ช่วยรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ
ช่วยป้องกันเส้นเลือดในสมองและหัวใจอุดตัน ป้องกันอัมพฤกษ์ อัมพาต
ช่วยลดไขมันในเลือด
ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคหมอนรองกระดูกแตกกดทับเส้นประสาทให้ทุเลายิ่งขึ้น
ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยควบคุมอาการเบาหวาน
ช่วยรักษาโรคภูมิแพ้ หอบหืด
ช่วยรักษาโรคประสาท
สรรพคุณของเห็ดหลินจือช่วยบำรุงตับ และรักษาโรคตับ ตับแข็ง ตับอักเสบ
เห็ดหลินจือรักษาโรคไตเรื้อรังบางชนิด โดยช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพการทำงานของไตให้ดีขึ้น
ประโยชน์ของเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคลมบ้าหมู
ช่วยแก้อาการอาหารเป็นพิษ
ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้
ประโยชน์เห็ดหลินจือช่วยขับปัสสาวะ
ช่วยรักษาและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร
ช่วยแก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อ
ประโยชน์ของเห็ดหลินจือช่วยรักษาโรคเกาต์
ช่วยสลายใยแผลเป็น หรือพังผืดหดยืด ทำให้ในแผลเป็นอ่อนนิ่มและหดตัวเล็กลง
ช่วยยับยั้งเชื้อไวรัส อย่าง ไวรัสเอดส์ อีสุกอีใส งูสวัด
ช่วยรักษาโรคลูปัส อีริทีมาโตซัส ทั่วร่าง (SLE) หรือโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ
ช่วยแก้อาการป่วยบนที่สูง เช่น อาการหูอื้อ
ช่วยรักษาโรคที่มีสาเหตุมาจากการขาดออกซิเจน เช่น ถุงลมโป่งพอง หัวใจหล้มเหลว เส้นเลือดหัวใจตีบ
ช่วยแก้อาการปวดประจำเดือน
ช่วยแก้ปัญหาภาวะมีบุตรยาก
ช่วยป้องกันการเสื่อมสรรถภาพทางเพศ
เห็ดหลินจือจัดเป็นสเตียรอยด์ธรรมชาติ ซึ่งไม่มีสารพิษหรือผลข้างเคียงเหมือนกับสเตรียรอยด์สังเคราะห์
Tuesday, August 5, 2014
ยาเบญจอำมฤต สมุนไพรไทยต้านมะเร็ง
ตำหรับยาเบญจอำมฤต |
กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก อยู่ระหว่างศึกษาวิจัยต่อยอดในการรักษาโรคมะเร็ง 4 ชนิด ได้แก่มะเร็งตับ ปอด เต้านม และปากมดลูก โดยได้ทำการวิจัย เกี่ยวกับ“พืชสมุนไพรกับการรักษาโรคมะเร็ง” โดยได้นำสมุนไพรตามตำรับยาแผนโบราณใน “คัมภีร์แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์” ซึ่งเป็นคัมภีร์แพทย์แผนไทยมาตรฐานที่กองการประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุขรับรอง เพราะเป็นคัมภีร์แพทย์หลวงที่มีการชำระความถูกต้องตามพระบรมราชโองการของสม เด็จพระปิยมหาราช รัชการที่ ๕ ที่ทรงมีพระราชประสงค์จะให้คัมภีร์แพทย์ฉบับนี้เป็นตำราแพทย์ประจำบ้าน สำหรับสามัญชน ประชาชนทั่วไปได้ไว้ใช้ศึกษา เพื่อช่วยเหลือ ดูแลตัวเองและครอบครัวในยามเจ็บ ป่วย โดยมีตำรับยาสมุนไพรที่น่าสนใจ เพราะมีรายงานว่า สามารถใช้รักษาโรคมะเร็งตับซึ่งเป็นมะเร็งที่รักษาได้ยากที่สุดชนิดหนึ่ง จากสถิติผู้ป่วยมะเร็งตับที่ได้รับการรักษาให้มีชีวิตรอดยืนยาวนั้นมีน้อยมาก ดังนั้นหากมีหนทางใดที่พอจะเยียวยาผู้ป่วยมะเร็งตับได้น่าจะเป็นผลดี
โดยทั่วไปคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) จะไม่อนุญาตให้ขึ้นทะเบียนตำรับยาสมุนไพรขนานใดที่มีสรรพคุณรักษาโรคมะเร็ง ถึงจะมีการศึกษาวิจัยว่าสามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้ก็ตาม แต่ในบัญชียาทดลองของกรม พัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ที่ใช้รักษาโรคมะเร็งตับ ตำรับยาเบญจอำมฤต หรือยาเบญจามฤต ในพระคัมภีร์โรคนิทาน มีการกล่าวถึงโรคตับพิการ ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการ ที่เห็นได้จาก“หอบไออยู่เป็นนิจ บริโภคอาหารไม่ได้ จะหายใจก็ไม่ถึงท้องน้อย ลักษณะดังนี้คือปถวีธาตุโทษทั้ง 4 ประการ” ปถวีธาตุโทษในที่นี้ท่านอธิบายว่าเป็นฝีในตับ ทำให้ถ่ายเป็นโลหิตสดๆออกมา สำหรับการรักษานั้นตามพระคัมภีร์กล่าวว่า “โรคหมู่นี้หมอจะแก้เป็นอันยากนัก.....ท่านให้แก้ไปด้วยสรรพคุณยา ดูตามบุญเถิด ถ้าแพทย์ผู้ใดจะแก้ ให้แก้ที่ต้นเหตุ คือแก้ปถวีธาตุซึ่งแตกนั้นก่อน ท่านให้ทำยาชื่อว่า เบญจอำมฤต” จากถ้อยคำในพระคัมภีร์จะเห็นได้ว่า แม้ท่านจะมิได้เรียกโรคตับพิการดังกล่าวว่าโรคมะเร็งตับ แต่ก็พออนุมานได้ว่ามีลักษณะอาการใกล้เคียงกัน คือเข้าขั้นโคม่ารักษาหายยาก แต่ท่านก็ยังแนะนำยาที่ใช้แก้ธาตุดินแตก เพื่อรักษาตับให้สามารถดำรงอยู่ต่อไปได้
ส่วนประกอบของยาพร้อมทั้งวิธีปรุงยาตำรับเบญจอำมฤตมีดังนี้
1) มหาหิงคุ์ 3.75 กรัม
2) ยาดำบริสุทธิ์ 3.75 กรัม
3) รงทอง 7.5 กรัม
4) มะกรูด 3 ลูก
การที่ยาแผนโบราณตำรับนี้ได้รับความสนใจในวงการแพทย์และเภสัชแผนปัจจุบันก็ เพราะมีรายงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากรงทอง ซึ่งเป็นยางจากลำต้นของรงทอง (Gamboge Tree) มีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งในตับ ยิ่งกว่านั้นดีปลีและพริกไทยก็มีฤทธิ์ต้านการออกซิเดชั่น (Antioxidant) เสริมฤทธิ์กับรงทองในการรักษามะเร็งตับ แต่อย่างไรก็ตามการรักษาโรคตับพิการตามหลักแพทย์แผนไทยนั้น จะใช้แต่รงทอง ดีปลี พริกไทยไม่ได้ หากต้องใช้ให้ครบสูตรตำรับจึงจะได้ผลดี ตัวยาสมุนไพรในตำรับเบญจอำมฤตนี้หาได้ง่ายจึงสมควรที่แพทย์แผนไทยหรือญาติ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะจัดเตรียมปรุงไว้ใช้รักษาโรคตับพิการหรือโรคมะเร็ง ตับ ควบคู่กับวิธีการรักษาแพทย์แผนปัจจุบัน อันที่จริงตำรับยารักษาโรคตับพิการหรือยาล้อมตับในคัมภีร์แพทย์แผนไทยที่ใช้ ประกอบกับตำรับเบญจอำมฤตให้ได้ผลดี ยังมีอีกหลายขนาน ซึ่งสมควรที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ รวมทั้งนักวิจัยทางด้านแพทย์-เภสัชแผนปัจจุบัน จะนำไปทดลองขยายผลเพื่อประโยชน์ในการรักษาโรคมะเร็งตับให้ได้ผลต่อไป โดย อธิบดีกรมแพทย์แผนไทยฯ เผยผลทดสอบยาตำรับเบญจอำมฤตย์ในผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายได้ผลดี หลังจากเปิดตัวตำรับเบญจอำมฤตย์ โดยทดลองให้บริการกับผู้ป่วยโรคมะเร็งตับระยะสุดท้ายที่โรงพยาบาลการแพทย์ ผสมผสานที่ยศเส จำนวน 50 คน เป็นผู้ชาย 35 คน ผู้หญิง 15 คน เพื่อติดตามผลการใช้ยาตำรับดังกล่าว พบว่า ตลอดระยะเวลา 20 วัน ผู้ป่วยมีการการดีขึ้น
โดยผู้ป่วยมีอาการตาเหลือง ตัวเหลืองลดลง เวียนศีรษะลดลง คลื่นไส้อาเจียนลดลงเมื่อทานมาก อาเจียน เจ็บชายโครงขวาลดลง ท้องอืดหลังทานอาหารดีขึ้น นอนหลับพักผ่อนนานขึ้น ท้องบวมลดลง เรอ ผายลมได้ หายใจไม่ทั่วท้องดีขึ้น ส่วนอาการปวดหลัง ก้นกบ เมื่อยตามกระดูกก็ลดลง การขับถ่ายอุจจาระดีขึ้น แต่อาการท้องบวม อ่อนเพลีย ขาทั้งสองข้างบวมและชายังคงเดิม อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลยังต้องการอาสาสมัครที่เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายอีก 150 คน เข้าโครงการติดตามผลจากการใช้ยา
ทั้งนี้ การกินยาตำรับเบญจอำมฤตย์นั้น หมอแพทย์แผนไทยจะจ่ายยาสมุนไพรเสริมตำรับตามอาการร่วมที่พบด้วย มิได้รักษาเฉพาะตำรับอย่างเดียว เช่น หากมีอาการวิงเวียนจะจ่ายยาขิง หรือยาหอมตามคัมภีร์ธาตุบรรจบ หากมีอาการบวมจะจ่ายยากลุ่มปรับสมดุลและขับปัสสาวะ หากมีอาการเพลียให้หยุดยา แต่ยังคงติดตามประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้ยาเบญจอำมฤตย์ต่อเนื่องต่อไป
สมุนไพรบำรุงร่างกายในยาเกร็กคู
ยาสมุนไพรบำรุงร่างกาย ตัวยาเกร็กคู
หลักการบำรุงร่างกายของทางตะวันออก จะเน้นการใช้สมุนไพรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยให้เลือดในร่างกายสูบฉีดและไหลเวียนดีขึ้น ทำให้อวัยวะเพศแข็งตัวโดยสมุนไพรที่มีรายงานวิจัยอย่างเป็นทางการ เช่น เขากวาง ช่วยบำรุงเลือด, สอเอี้ยง ช่วยบำรุงไต, อิมเอี้ยคัก ซึ่งเป็นพระเอกของกลุ่มยาสมุนไพรสูตรนี้ ช่วยในเรื่องการขยายหลอดเลือด ในประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรปและจีน นำไปใช้เป็นส่วนประกอบตัวหลัก, เม็ดเก๋ากี้ ที่ใช้ต้มยาในบ้านเรา ช่วยบำรุงร่างกาย, เน็กฉ่งยัง ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำเชื้ออสุจิ นอกจากนี้ยังมีดอกคำฝอย ซึ่งช่วยขับปัสสาวะและเหงื่อเพื่อไม่ให้ตัวยาตกค้างในร่างกาย ซึ่งจะเห็นว่าสมุนไพรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะใส่อยู่ในยาบำรุงร่างกาย อาหารเสริม เกือยทุกยี่ห้อ ในส่วนของยาเกร็กคู เรามาดูกันว่า สมุนไพรที่นำมาผลิตมีอะไรบ้างและมี สรรพคุณอะไร
ตังถั่งเช่า : สรรพคุณ บำรุงไต สร้างฮอร์โมน บำรุงหัวใจ ปอด หลอดลม กล่องเสียง เสริมอายุวัฒนะเป็นสมุนไพรชื่อดัง ซึ่งมีราคาแสนแพง
แปะตุ๊ก : สรรพคุณ บำรุงกระเพาะอาหาร เสริมสร้างร่างกาย และขับปัสสาวะ จึงใช้สำหรับบำบัดอาการอาหารไม่ย่อย บิดเรื้อรัง เบื่ออาหาร แขนขาไม่มีแรี่ยวแรง และบวมน้ำ เป็นต้น
อี๋อี่ยิ่ง : สรรพคุณ ราก : นำมาทำเป็นยาชงทาน เพราะมีสารพวก coixol ซึ่งใช้ขับพยาธิในเด็ก ส่วนเมล็ด : นำมาทำเป็นยาใช้บำบัดอาการหลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ มีน้ำคั่งในปอด และถ้านำมาหมักจะได้แอลกอฮอล์ ซึ่งใช้ในโรคข้ออักเสบ แต่ถ้าคนที่ฟื้นไข้ใหม่ๆ ก็นำเมล็ดมาชงซึ่งเป็นอาหารที่มีคุณค่ามาก เป็นยาเย็น และขับปัสสาวะ
โหงวบี่จี้ : สรรพคุณ บำรุงเลือด บำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงไต แก้อาการปัสสาวะรดที่นอน เสริมกำลังให้แข็งแรง ใช้บำบัดอาการตายด้าน
เนกกุ่ย : สรรพคุณ เป็นยารสหวาน ฤทธิ์เผ็ดร้อน เสริมความร้อนให้กับร่างกาย แก้อาการท้องร่วง ปวดเอว ปวดเข่า ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
อิมเอียงคัก : สรรพคุณ รสหวาน เผ็ดร้อน ฤทธิ์อุ่น เป็นยาที่มีสรรพคุณฟื้นฟูไต ใช้แก้ปวดหลัง เป็นยาบำรุงร่างกาย
เกากี้จี้ : สรรพคุณ ผง ราก ต้น ใบ และเปลือกรากเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงสายตา บำรุงเลือด ขับปัสสาวะ แก้ไอ แก้ไข้ แก้เหงือกบวม แก้โรคเบาหวาน และโรคไต ใบและผลนำมาทำเป็นอาหารได้
โถ่วชี้จี้ : สรรพคุณ ลำต้น ใช้ลำต้นแห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มน้ำกินเป็นยาแก้บิด อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือด ตกเลือด ไอเป็นเลือด เลือดกำเดาไหล แก้โรคดีซ่าน และแก้พิษ หรือใช้ภายนอก โดยการนำเอาลำต้นมาตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำทา หรือพอกบริเวณที่เป็นฝ้า ผดผื่นคัน แผลเรื้อรัง และใช้ห้ามเลือด เป็นต้น.... เมล็ด ใช้เมล็ดที่แห้งประมาณ 10-15 กรัม นำมาต้มน้ำกิน หรือนำมาบดให้ละเอียดทำเป็นยาเม็ด หรือทำเป็นยาผง ใช้เป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงตับไต แก้ปวดเมื่อยตามร่างกาย ทำให้ตาสว่าง แก้กระหายน้ำ และแก้น้ำกามเคลื่อน เป็นต้น
ตั่วจ้อ : สรรพคุณ น้ำต้มจากเปลือกต้มกินเป็นยาฝาดสมาน แก้ปวดท้อง แก้บิด แก้ท้องเสีย แก้ไอ แก้เหงือกอักเสบ... ผลแห้งช่วยการทำงานของม้ามและกระเพาะอาหาร ช่วยย่อย บำรุงร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อนๆ แก้ไอ ช่วยสงบประสาท และใช้ผสมกับสูตรยาอื่นๆเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ได้นานขึ้น
ซัวเอียะ : สรรพคุณ เสริมสร้างร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร แก้ท้องร่วง ลดเหงื่อ บำรุงไต และใช้ได้ผลมากกับอาการอันเกิดจากโรคเบาหวาน เช่น กระหายน้ำ ซูบผอม ปัสสาวะมาก รวมทั้งอาการเหงื่อออกมาก นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร
อิมเอียงคัก : สรรพคุณ รสหวาน เผ็ดร้อน ฤทธิ์อุ่น เป็นยาที่มีสรรพคุณฟื้นฟูไต ใช้แก้ปวดหลัง เป็นยาบำรุงร่างกาย
สรรพคุณ ยาเกร็กคู
Sunday, August 3, 2014
ยาเกร็กคู กับมาตรฐาน GMP
ยาเกร็กคู มาตรฐาน GMP
ยาเกร็กคู ผลิตจากโรงงานที่ผ่านมาตรฐาน GMP ซึ่งเป็นยาสมุนไพรไทยเพียงไม่กี่ยี่ห้อ ที่กระบวนการผลิตผ่านมาตรฐาน GMP ของประเทศไทยรัฐบาล ทำให้มั่นใจได้ว่า ผลิตภัณฑ์ยาสตรี ยาบำรุงสุขภาพร่างกาย เห็ดหลินจือ อาหารเสริม หรือสินค้าภายใต้แบรนด์ หมอทศพรโอสถ เป็นสินค้าที่ปลอดภัยได้มาตรฐาน ไม่ต้องกังวลเรื่องอันตราย ผ่านมาตรฐาน อ.ย.
กระทรวง สาธารณสุข ได้ออก พรบ.ยา พ.ศ. 2510 (กฎหมายยา) ระบุให้ผู้ประกอบการต้องมีสถานที่ผลิตยาของตนเอง ซึ่งจะต้องมีขนาดพื้นที่ขั้นต่ำ 4×4 ตารางเมตรต่อห้องและต้องแยกเป็นสัดส่วน และยังต้องวิเคราะห์หาปริมาณตัวยาให้ได้ตามสูตรที่ผลิตยาได้เองด้วย หลักเกณฑ์ดังกล่าวถือได้ว่า เป็นส่วนหนึ่งของ GMP ต่อมาในปี 2522 อย. ได้เริ่มนำหลักเกณฑ์ GMP มาใช้กับโรงงานผลิตยา (ปีเดียวกับ FDA สหรัฐได้เปลี่ยนมาใช้มาตรฐาน c-GMP ) เพื่อพัฒนามาตรฐานการผลิตให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ และในปี 2527 อย. ได้รณรงค์ให้ภาคอุตสาหกรรมยาสนใจและปรับปรุงมาตรฐานการผลิตยาอย่างจริงจัง และยังได้ออกเอกสาร “หลักเกณฑ์วิธีที่ดีในการผลิต” เป็นเล่มแรกในปี 2530 และในปี 2532 ได้ออกประกาศนียบัตร GMP หรือ “GMP Certificate” ให้กับผู้ประกอบการที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐาน GMP รวมทั้งสิ้น 58 โรงงาน ในปัจจุบัน มีโรงงานที่ได้ GMP มากกว่า 130 โรงงาน และในปี 2544 อย. ได้ใช้ GMP ฉบับใหม่ซึ่งยึดตามหลักของ WHO (World Health Organization) ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากลแล้วการที่ไทยใช้มาตรฐาน GMP ในระดับเดียวกับ WHO (World Health Organization) ไทยจึงน่าจะได้ประโยชน์จากการขยายตลาดยาในอาเชียนเมื่อใช้มาตรฐานการขึ้น ทะเบียนยาอาเชียน เพราะยาไทยมีมาตรฐานสูงและเป็นที่ยอมรับของประเทศสมาชิกอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ประเทศมาเลเชีย สิงคโปร์ อินโดนีเชีย และฟิลิปปินส์ ก็มีขีดความสามารถใกล้เคียงกับไทยเช่นกัน อนึ่ง อย. ยังได้ออกมาตรฐาน GMP สำหรับยาแผนโบราณ อาหาร และเครื่องสำอาง และยังใช้มาตรฐานป้องกันอันตรายจากการปนเปื้อน HACCP (Hazard Analysis and Critical Point) สำหรับอุตสาหกรรมอาหารส่งออก เพื่อให้มั่นใจว่า ได้ใช้วิธีการผลิตที่สะอาดปลอดภัยจากเชื้อโรคและสารเคมีตกค้างในผลิตภัณฑ์ อาหารสำหรับบริโภคทั้งในและต่างประเทศอีกด้วยตามแนวแผนงานคุ้มครองผู้บริโภค ด้านสาธารณสุขในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 5,6 และ 7 (พ.ศ. 2525-2529, พ.ศ. 2530-2534 และ พ.ศ. 2535-2539 ตามลำดับ) ส่วนแผนงานคุ้มครองผู้บริโภค ฉบับที่ 8 ( พ.ศ. 2540 – 2544 ) ได้กำหนดให้มีการยกระดับมาตรฐานการผลิตยาภายในประเทศขึ้นโดยมีมาตรการบังคับ ให้ผู้ผลิตนำเอาหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการผลิตยา (GMP) มาใช้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภคในคุณภาพมาตรฐานของยาที่ผลิตขึ้น ผลการดำเนินงานพบว่า ยาที่ผลิตภายในประเทศมีคุณภาพมาตรฐานดีขึ้น และมีปัญหายาผิดมาตรฐานในท้องตลาดลดลง ส่วนแผนฯ ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) ได้ใช้คำว่า “ผลิตภัณฑ์สุขภาพ” แทนสินค้าที่กระทรวงสาธารณสุขดูแลทั้งหมด
หลักการของระบบ GMP
หลักการของ GMP จะครอบคลุมตั้งแต่สถานที่ตั้งของสถานประกอบการ โครงสร้างอาคารระบบการผลิตที่ดีมีความปลอดภัย และมีคุณภาพได้มาตรฐานทุกขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนการผลิตระบบควบคุมตั้งแต่วัตถุดิบระหว่างการผลิต ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปการจัดเก็บการควบคุมคุณภาพและการขนส่งจนถึงผู้บริโภค มีระบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบและติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์รวมถึงระบบการจัดการที่ดีในเรื่อง สุขอนามัย (Sanitation และHygiene) เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายมีคุณภาพและความปลอดภัยเป็นที่มั่นใจเมื่อถึง มือผู้บริโภค ทั้งนี้ GMP ยังเป็นระบบประกันคุณภาพขั้นพื้นฐานก่อนที่จะพัฒนาไปสู่ระบบประกันคุณภาพ อื่นๆต่อไปเช่นระบบ HACCP (Hazards Analysis and Critical Control Points) และ ISO 9000 อีกด้วย
GMP กฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้สำหรับผู้ผลิตอาหารรายใหม่ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2544 ส่วนรายเก่ามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2546
ข้อกำหนด GMP สุขลักษณะทั่วไป
ข้อกำหนด GMP สุขลักษณะทั่วไปมี 6 ข้อกำหนดดังนี้
1. สถานที่ตั้งและอาคารผลิต
2. เครื่องมือเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต
3. การควบคุมกระบวนการผลิต
4. การสุขาภิบาล
5. การบำรุงรักษาและการทำความสะอาด
6. บุคลากรและสุขลักษณะ
ในแต่ละข้อกำหนดมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ผู้ผลิตมีมาตรการป้องกันการปน เปื้อนอันตรายทั้งทางด้านจุลินทรีย์เคมีและกายภาพ ลงสู่ผลิตภัณฑ์ซึ่งอาจมาจากสิ่งแวดล้อมตัวอาคารเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ใช้ การดำเนินงานในแต่ละขั้นตอนการผลิตรวมถึงการจัดการในด้านสุขอนามัยทั้งใน ส่วนของความสะอาดการบำรุงรักษาและผู้ปฏิบัติงาน
Saturday, August 2, 2014
สมุนไพรไทยบำรุงร่างกายเพศชาย
ปัญหาเรื่อง นกเขาไม่ขัน สำหรับชายไทยจากการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของสมรรถภาพทางเพศ
กลับพบว่าชายไทยที่อายุ 35 ปีขึ้นไป มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศถึง 42
เปอร์เซ็นต์ โดยกลุ่มชายที่ประสบปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
จึงพยายามหาวิธีแก้ไขกันทั้งนั้น หลายคนไปพึ่งยา ‘ไวอะกร้า’
เพื่อช่วยให้อวัยวะของตนแข็งขันชูชันผงาดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง ยิ่งตอนนี้มีขององค์การเภสัชได้ผลิตมาจ่ายตามใบสั่งแพทย์ เพื่อเหลือชายไทยในกลุ่มนี้
แต่ปัญหาในเรื่องนี้ มิใช่มีเพียงภูมิปัญญาตะวันตกเท่านั้น ที่สนใจศึกษา หากแต่ทางฝั่งตะวันออกก็มีหนทางเยียวยาอยู่เช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการค้นพบตัวยาในเมล็ดหมามุ่ยซึ่งมีส่วนช่วยส่ง เสริมสมรรถภาพทางเพศของทั้งหญิงและชาย และต่อมาก็มีข่าวคราวความสำเร็จของการวิจัยโดยศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซีไออาร์ดี (C.I.R.D. : CAPP Innovation Research and Development Center) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้า ทำงานด้านพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์และสมุนไพรตะวันออก ออกมาให้สมาคมนกเขาคอตกได้ดีใจ
โดยผลการวิจัยของซีไออาร์ดี นั้นระบุว่า สมุนไพรตะวันออกนั้นสามารถช่วยรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้จริง ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ หากแต่มันได้ผ่านการวิจัยกับคนจริงๆ มาแล้ว
การวิจัยที่ว่านี้ ศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซีไออาร์ดี ได้นำเอาสมุนไพรหลายชนิดอาทิ เขากวางอ่อน, สอเอี้ยง, อิมเอี้ยคัก, เม็ดเก๋ากี้, ปาเก็กเทียน, เก้ากุ๊กเฮี้ยง, เน็กฉ่งยัง ฯลฯ มาใช้เป็นตัวยาซึ่งทั้งหมดเป็นสมุนไพรที่การแพทย์แผนตะวันออกคุ้นเคยกันดี อยู่แล้ว
“ในการวิจัยเรานำเอาสมุนไพรกว่า 10 ชนิดมาใช้ คือมันต้องใช้ร่วมกันหลายๆ อย่างจึงจะเห็นผล มันเป็นสิ่งที่เราเรียกว่ายาตำรับ คือในเบื้องต้นนั้นเรามีความตั้งใจเอายาเหล่านี้มาทำให้เป็นวิทยาศาสตร์มาก ขึ้น เอาตัวยาทางตะวันออกที่มี มาทำให้เป็นศาสตร์แบบแผนตะวันตก ทำวิจัยให้มันถูกต้อง
“ที่ผ่านมา เราก็มีข้อมูลสนับสนุน เพราะสมุนไพรเหล่านี้ในต่างประเทศมีคนทดสอบ ทดลองแล้วว่า หลายๆ ตัวมีส่วนประกอบที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้จริง แต่ทั้งนี้โดยส่วนมากในต่างประเทศจะเป็นเอกสารทางสารทดลองที่อยู่ในห้องแล็บ มากกว่า เมื่อเราได้เอกสารตัวนี้มายืนยัน เราก็ตั้งการวิจัย โดยตั้งสมมติฐานมาเปรียบเทียบ โดยตั้งกลุ่มขึ้น 2 กลุ่ม ซึ่งแบบนี้เรียกว่า ดับเบิล บลาย ทู พีเรียด ครอสโอเวอร์ (double blind two period crossover)”
นพ.สรรชัย วิโรจน์แสงทอง ศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซีไออาร์ดี ได้อธิบายถึงกระบวนการวิจัยในครั้งนี้ว่าเป็นการนำเอากลุ่มตัวอย่างมา 60 คน และแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะให้ยาจริงก่อน แล้วหยุดพัก หลังจากนั้นก็ให้ทานยาหลอก อีกกลุ่มหนึ่งก็ทำเช่นเดียวกันแต่จะให้ยาหลอกก่อน สลับกันไป จากนั้นก็จะมีการให้กลุ่มผู้ทดลองตอบแบบสอบถามเรื่องความพึงพอใจทางเพศ เป็นตัววัดคะแนน
“ตัววัดคะแนนตัวนี้เป็นชุดคำถามสากลที่นิยมใช้วัดระดับในเรื่องนี้ คือเมื่อกินยาตัวนี้เข้าไปแล้วก็ต้องไปมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแต่ความถี่แล้วแต่เขา จากนั้นก็มาวัดผล และที่เราต้องวัดเป็นความพึงพอใจนั้น ก็เพราะเป็นเรื่องง่ายกว่า การวัดจากความแข็งตัวของอวัยวะเพศ ซึ่งตรงนี้คงไม่มีใครให้เราวัด”
จากการวิจัยระยะยาวที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ออกมาก็สรุปได้ว่า ยาเหล่านี้มันใช้ได้ผลจริงๆ และในอีกไม่นาน ผลการวิจัยชิ้นนี้คงจะขยายผลออกมาเป็นยาที่จะช่วยรักษาคนที่ประสบปัญหานกเขา ไม่ขัน
สนุนไพรมีคุณค่าแต่อาจไม่คุ้มค่าการวิจัย
แม้ว่ายาสมุนไพรตะวันออกจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันสามารถรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้จริง แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นการรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลานาน ซึ่งต่างกับยาไวอะกร้า ซึ่งมาจากโลกตะวันตกที่เห็นผลทันตาชนิดที่เรียกได้ว่า ‘กินปุ๊บแข็งปั๊บ’ แล้วแบบนี้สมุนไพรตะวันออกจะไปสู้เขาได้อย่างไร
“แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องยาของคนฝั่งตะวันออก อย่างไทย จีนหรืออินเดีย กับฝั่งตะวันตกนั้นไม่เหมือนกัน อย่างฝั่งตะวันตกจะมองว่า การบำรุงสมรรถภาพทางเพศ ก็คือบำรุงอวัยวะใด อวัยวะหนึ่ง แต่คนตะวันออกไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเขาคิดว่าร่างกายต้องสมบูรณ์แข็งแรงก่อน อวัยวะที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์จึงจะแข็งแรงไปด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่วิจัยเกี่ยวกับยาที่คนโบราณบอกว่าเป็นยากำลังทั้งหลาย จึงไม่ได้ออกฤทธิ์ตรงที่อวัยวะเพศอย่างเดียว แต่มันยังทำให้ทั้งร่างกายดีขึ้นด้วย”
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายความแตกต่างระหว่างแนวคิดระหว่างศาสตร์การแพทย์ของ 2 ฝั่งทวีป และนั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยาสมุนไพรของไทย ถึงไม่ได้เด่นชัดในเรื่องการเสริมกำลังตรงนี้มากเท่าที่ควร แม้จะมีพืชบางชนิดที่มีออกฤทธิ์หรือส่งผลดีทางด้านสมรรถภาพทางเพศก็ตาม
“จริงๆ แล้วความคิดแบบตะวันตกอาจจะไม่ถูกทั้งหมด เพราะหน้าที่ของมนุษย์ก็คือการสืบพันธุ์ หรือมีลูก แต่ยาฝรั่งไม่ได้ช่วยตรงนี้ แค่ทำให้อวัยวะทำงานได้ มีการตื่นตัว ซึ่งถามว่าจำเป็นไหม ก็คงจำเป็น แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ของการเป็นมนุษย์ แต่ยาสมุนไพรมันไม่ได้ช่วยแค่การสืบพันธุ์เท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ที่เห็นชัดๆ ก็คือ หมามุ่ย ซึ่งไม่ช่วยแค่การบำรุงร่างกาย แต่มันยังทำให้มีลูกง่ายขึ้นด้วย เพราะมันจะไปช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำเชื้อ และการทำงานของสเปิร์ม”
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสมุนไพรให้มีผลในทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น การพัฒนาหมามุ่ยหรือสมุนไพรอื่นๆ ให้เป็นยาที่แข่งกับยาฝรั่งเช่น ไวอะกร้านั้น ภญ.ผกากรอง ก็มองว่า เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ในฐานะของที่ทำงานด้านนี้ กลับมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะนอกจากจะต้องใช้งบประมาณนับล้านบาท สำหรับการทำเรื่องนี้แล้ว ที่สำคัญอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ต่อเรื่องสุขภาพเท่าใดนัก
“ถ้าเราพูดเรื่องจำนวนของคนที่ไร้สมรรถภาพทางเพศไม่ได้มีเยอะเท่าใดนัก เป็นเพียงความกังวลของคนเท่านั้นเอง ถึงต้องหายาอะไรมากินกัน ดังนั้นถ้าจะพัฒนายาตัวหนึ่งขึ้นมาคงต้องตอบโจทย์เรื่องนี้ให้มาก เพราะการทำยาตัวหนึ่งไม่ได้เสียเงิน 100-200 บาทแต่เสียหลายล้านบาท แต่ทำมาแล้วมีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศหรือผลกระทบได้สักเท่าไหร่ แน่นอนทางฝ่ายเอกชนก็อาจจะคิดว่ามันน่าจะตอบโจทย์ทางธุรกิจได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งเราสกัดสารให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าใด โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงได้มากขึ้นเท่านั้น
“เพราะสมุนไพรไม่ได้ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ มีผลข้างเคียง แต่มันยังน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน เพราะความเข้มข้นในการเป็นยาของมันไม่ได้สูงมาก สังเกตดูก็ได้ว่า เวลากินสมุนไพรถึงต้องกินหลายเม็ดกว่าแผนปัจจุบัน ซึ่งวิธีแก้ผลข้างเคียงก็คือหยุดยา แล้วส่วนใหญ่ก็จะกลับมาเป็นปกติ”
คือทางเลือกและความหวัง
แม้ว่าการรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยสมุนไพรตะวันออกจะอยู่ในระยะ ตั้งไข่ แต่สำหรับคนที่มีปัญหา เชื่อได้เลยว่าแม้จะยาวนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นความหวังที่คุ้มค่ากับการรอคอย
“ยอมรับเลยว่าด้วยอายุที่มากขึ้น ทำให้สมรรถภาพในเรื่องนั้นของเราลดลงจริง เมื่อก่อนสมัยหนุ่มๆ ก็เป็นเหมือนปกติทั่วไป คือร่างกายกับจิตใจมันไปด้วยกันน่ะ แต่ตอนนี้พออายุใกล้จะถึงหลัก 4 จิตใจเรา เราว่าเหมือนเดิมนะ แต่ร่างกายนี่ชักจะไม่เป็นเหมือนเดิมแล้ว”
ศักดิ์ชาย (ขอสงวนนามสกุล) หนุ่มใหญ่วัย 38 ปี เล่าให้เราฟังถึงสภาวะที่ร่างกายถดถอย ทั้งที่ใจยังสู้อยู่
“ผมแต่งงานมีลูกแล้ว 1 คน แสดงว่าก็ยังพอมีน้ำยาอยู่บ้างนะ (หัวเราะ) แต่มาหลังๆ นี้ สังเกตได้ว่ามันชักจะไม่ค่อยสู้แล้ว คือไม่ใช่ว่านกเขาไม่ขันเสียทีเดียว ก็ขันอยู่ แต่ไม่ขันแข็งเหมือนเมื่อก่อน ตอนแรกเราก็คิดว่าคงเป็นเพราะหน้าที่การงานที่เครียดมากขึ้น เพราะมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบดูแล ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่หนักเข้าสมรรถภาพทางเพศก็เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด พูดอย่างไม่อายเลยว่า กว่าที่แข็งตัวนี่จะช้ามากทั้งๆ ที่เราก็รู้สึกมีอารมณ์ แล้วพอมันแข็งก็แข็งไม่มากเท่าตอนหนุ่มๆ แต่ก็ยังพอใช้งานได้ ต่อมาก็ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีก็พบว่าน้ำตาลในเลือดสูง มีความเสี่ยงมากที่จะเป็นเบาหวาน ซึ่งผมก็มาศึกษาต่อเองว่าภาวะการเป็นเบาหวานนั้น ส่งผลต่อการแข็งตัวขององคชาตด้วย ทีนี้ก็เลยถึงบางอ้อเลยว่าทำไม่ไม่ฟิตเหมือนเมื่อก่อน”
ตอนแรกๆ ศักดิ์ชายยังไม่ได้คิดว่าอาการนกเขาแข็งตัวไม่เต็มที่นั้นเป็นปัญหา แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะอาการตื่นช้าและไม่แข็งตัวมันหนักข้อขึ้นทุกวัน
“หลังๆ มาผมศึกษาเรื่องวิธีการรักษามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีธรรมชาติอย่างออกกำลังกาย ลดเหล้าบุหรี่ หรือจะเป็นการใช้ยาอย่างไวอะกร้า ก็คิดอยู่ว่าจะเอามาลองใช้หลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้ผมเป็นโรคความดันด้วย ทำให้ยังไม่กล้าลองใช้ เพราะไวอะกร้ามันเป็นยาขยายหลอดเลือด ผมก็เลยกลัวว่ามันจะมีผลกับคนเป็นความดันอย่างผมหรือเปล่า”
แต่เมื่อเขารู้ข่าวของการใช้สมุนไพรตะวันออกในการรักษาอาการนกเขาไม่ขัน ศักดิ์ชัยก็แสดงความเห็นว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีและถ้ามีโอกาสก็จะลองใช้
“มันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะ เพราะผมเข้าใจว่าพวกสมุนไพรมันไม่น่าจะมีผลข้างเคียงร้ายแรงเท่ายาเคมี ถ้ามันมีการวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวแล้วได้ผล ผมก็ว่าจะลองใช้ดูก่อน จริงอยู่ที่มันไม่ใช่การรักษาที่ตรงจุดเสียทีเดียว แต่มันก็ดีกว่าการไปเสี่ยงใช้ยาที่มีผลข้างเคียงอันตรายอย่างไวอะกร้านะ”
นั่นเป็นทรรศนะของคนมีปัญหาที่เฝ้ารอการรักษาอย่างมีความหวัง ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ เราจะพบว่าตัวยาสมุนไพรที่นำมาใช้นั้น มีหลายอย่างที่คนในบ้านเราเอามาประกอบอาหารในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จึงน่าสงสัยว่า เมื่อคนทั่วไปรู้ว่าของเหล่านี้มันมีสรรพคุณทางยา รักษาอาการนกเขาไม่ขันได้เขาจะหันมาบริโภคมันมากขึ้นหรือไม่
“คงไม่ได้เสาะหามากินมากกว่าแต่ก่อนหรอก คงกินมันเท่าเดิมนั่นแหละโดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้อยู่แล้ว” สรัญวุฒิ ศรีวารีกุล หนุ่มใหญ่วัย 30 กล่าวถึงสมุนไพรเหล่านี้ในฐานะอาหาร ซึ่งเขายังบอกต่อไปอีกว่าถึงแม้เขาจะมีปัญหาในเรื่องอย่างว่าขึ้นมาในวัน หนึ่ง เขาก็คงไม่กินสมุนไพรเหล่านี้ในฐานะของอาหารบำรุงแน่นนอน
“ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็ไปหาหมอดีกว่า คงไม่กินอาหารรักษาเองหรอก น่าจะกินยาไปเลย แต่จะเป็นยาไทยหรือยาฝรั่งก็ต้องดูกันอีกทีว่าอันไหนมันดีกว่ากัน”
คำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นแมวสีไหน ขอให้สามารถจับหนูได้เป็นพอ นั้นเป็นคำกล่าวที่สมเหตุสมผล ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพรตะวันออก หรือยาเคมีจากตะวันตก หากมันช่วยรักษาความป่วยไข้ได้เหมือนกันก็คงจะไม่ต้องมาเถียงกันว่าอะไรดี กว่าอะไร
แต่ถ้าหากจะมองถึงเรื่องอื่นๆ ที่ลึกลงไปกว่าการรักษาโรคให้หาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลข้างเคียง เรื่องของจิตใจ มันย่อมมีอะไรๆ ให้พิจารณากันอีกไม่น้อย ถึงตอนนั้น ผู้ใช้ก็คงจะเลือกเองได้ว่าจะยืนอยู่ทางฝั่งไหนของโลกดี.
ข้อมูลจาก : ผู้จัดการ วันจันทร์ ที่ 5 กันยายน 2554
แต่ปัญหาในเรื่องนี้ มิใช่มีเพียงภูมิปัญญาตะวันตกเท่านั้น ที่สนใจศึกษา หากแต่ทางฝั่งตะวันออกก็มีหนทางเยียวยาอยู่เช่นกัน
เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีการค้นพบตัวยาในเมล็ดหมามุ่ยซึ่งมีส่วนช่วยส่ง เสริมสมรรถภาพทางเพศของทั้งหญิงและชาย และต่อมาก็มีข่าวคราวความสำเร็จของการวิจัยโดยศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซีไออาร์ดี (C.I.R.D. : CAPP Innovation Research and Development Center) ซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่แสวงผลกำไรทางการค้า ทำงานด้านพัฒนาองค์ความรู้ด้านการแพทย์และสมุนไพรตะวันออก ออกมาให้สมาคมนกเขาคอตกได้ดีใจ
โดยผลการวิจัยของซีไออาร์ดี นั้นระบุว่า สมุนไพรตะวันออกนั้นสามารถช่วยรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้จริง ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้พูดขึ้นมาลอยๆ หากแต่มันได้ผ่านการวิจัยกับคนจริงๆ มาแล้ว
การวิจัยที่ว่านี้ ศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซีไออาร์ดี ได้นำเอาสมุนไพรหลายชนิดอาทิ เขากวางอ่อน, สอเอี้ยง, อิมเอี้ยคัก, เม็ดเก๋ากี้, ปาเก็กเทียน, เก้ากุ๊กเฮี้ยง, เน็กฉ่งยัง ฯลฯ มาใช้เป็นตัวยาซึ่งทั้งหมดเป็นสมุนไพรที่การแพทย์แผนตะวันออกคุ้นเคยกันดี อยู่แล้ว
“ในการวิจัยเรานำเอาสมุนไพรกว่า 10 ชนิดมาใช้ คือมันต้องใช้ร่วมกันหลายๆ อย่างจึงจะเห็นผล มันเป็นสิ่งที่เราเรียกว่ายาตำรับ คือในเบื้องต้นนั้นเรามีความตั้งใจเอายาเหล่านี้มาทำให้เป็นวิทยาศาสตร์มาก ขึ้น เอาตัวยาทางตะวันออกที่มี มาทำให้เป็นศาสตร์แบบแผนตะวันตก ทำวิจัยให้มันถูกต้อง
“ที่ผ่านมา เราก็มีข้อมูลสนับสนุน เพราะสมุนไพรเหล่านี้ในต่างประเทศมีคนทดสอบ ทดลองแล้วว่า หลายๆ ตัวมีส่วนประกอบที่ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศได้จริง แต่ทั้งนี้โดยส่วนมากในต่างประเทศจะเป็นเอกสารทางสารทดลองที่อยู่ในห้องแล็บ มากกว่า เมื่อเราได้เอกสารตัวนี้มายืนยัน เราก็ตั้งการวิจัย โดยตั้งสมมติฐานมาเปรียบเทียบ โดยตั้งกลุ่มขึ้น 2 กลุ่ม ซึ่งแบบนี้เรียกว่า ดับเบิล บลาย ทู พีเรียด ครอสโอเวอร์ (double blind two period crossover)”
นพ.สรรชัย วิโรจน์แสงทอง ศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยนวัตกรรม ซีไออาร์ดี ได้อธิบายถึงกระบวนการวิจัยในครั้งนี้ว่าเป็นการนำเอากลุ่มตัวอย่างมา 60 คน และแบ่งเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มแรกจะให้ยาจริงก่อน แล้วหยุดพัก หลังจากนั้นก็ให้ทานยาหลอก อีกกลุ่มหนึ่งก็ทำเช่นเดียวกันแต่จะให้ยาหลอกก่อน สลับกันไป จากนั้นก็จะมีการให้กลุ่มผู้ทดลองตอบแบบสอบถามเรื่องความพึงพอใจทางเพศ เป็นตัววัดคะแนน
“ตัววัดคะแนนตัวนี้เป็นชุดคำถามสากลที่นิยมใช้วัดระดับในเรื่องนี้ คือเมื่อกินยาตัวนี้เข้าไปแล้วก็ต้องไปมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งแต่ความถี่แล้วแต่เขา จากนั้นก็มาวัดผล และที่เราต้องวัดเป็นความพึงพอใจนั้น ก็เพราะเป็นเรื่องง่ายกว่า การวัดจากความแข็งตัวของอวัยวะเพศ ซึ่งตรงนี้คงไม่มีใครให้เราวัด”
จากการวิจัยระยะยาวที่ผ่านมา ผลลัพธ์ที่ออกมาก็สรุปได้ว่า ยาเหล่านี้มันใช้ได้ผลจริงๆ และในอีกไม่นาน ผลการวิจัยชิ้นนี้คงจะขยายผลออกมาเป็นยาที่จะช่วยรักษาคนที่ประสบปัญหานกเขา ไม่ขัน
สนุนไพรมีคุณค่าแต่อาจไม่คุ้มค่าการวิจัย
แม้ว่ายาสมุนไพรตะวันออกจะพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันสามารถรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้จริง แต่กระนั้นมันก็ยังเป็นการรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไป และใช้เวลานาน ซึ่งต่างกับยาไวอะกร้า ซึ่งมาจากโลกตะวันตกที่เห็นผลทันตาชนิดที่เรียกได้ว่า ‘กินปุ๊บแข็งปั๊บ’ แล้วแบบนี้สมุนไพรตะวันออกจะไปสู้เขาได้อย่างไร
“แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องยาของคนฝั่งตะวันออก อย่างไทย จีนหรืออินเดีย กับฝั่งตะวันตกนั้นไม่เหมือนกัน อย่างฝั่งตะวันตกจะมองว่า การบำรุงสมรรถภาพทางเพศ ก็คือบำรุงอวัยวะใด อวัยวะหนึ่ง แต่คนตะวันออกไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเขาคิดว่าร่างกายต้องสมบูรณ์แข็งแรงก่อน อวัยวะที่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์จึงจะแข็งแรงไปด้วย เพราะฉะนั้นเวลาที่วิจัยเกี่ยวกับยาที่คนโบราณบอกว่าเป็นยากำลังทั้งหลาย จึงไม่ได้ออกฤทธิ์ตรงที่อวัยวะเพศอย่างเดียว แต่มันยังทำให้ทั้งร่างกายดีขึ้นด้วย”
ภญ.ผกากรอง ขวัญข้าว เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร อธิบายความแตกต่างระหว่างแนวคิดระหว่างศาสตร์การแพทย์ของ 2 ฝั่งทวีป และนั่นคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ยาสมุนไพรของไทย ถึงไม่ได้เด่นชัดในเรื่องการเสริมกำลังตรงนี้มากเท่าที่ควร แม้จะมีพืชบางชนิดที่มีออกฤทธิ์หรือส่งผลดีทางด้านสมรรถภาพทางเพศก็ตาม
“จริงๆ แล้วความคิดแบบตะวันตกอาจจะไม่ถูกทั้งหมด เพราะหน้าที่ของมนุษย์ก็คือการสืบพันธุ์ หรือมีลูก แต่ยาฝรั่งไม่ได้ช่วยตรงนี้ แค่ทำให้อวัยวะทำงานได้ มีการตื่นตัว ซึ่งถามว่าจำเป็นไหม ก็คงจำเป็น แต่มันไม่ได้ตอบโจทย์ของการเป็นมนุษย์ แต่ยาสมุนไพรมันไม่ได้ช่วยแค่การสืบพันธุ์เท่านั้น แต่ยังช่วยในเรื่องทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ที่เห็นชัดๆ ก็คือ หมามุ่ย ซึ่งไม่ช่วยแค่การบำรุงร่างกาย แต่มันยังทำให้มีลูกง่ายขึ้นด้วย เพราะมันจะไปช่วยเพิ่มคุณภาพของน้ำเชื้อ และการทำงานของสเปิร์ม”
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาสมุนไพรให้มีผลในทางใดทางหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น การพัฒนาหมามุ่ยหรือสมุนไพรอื่นๆ ให้เป็นยาที่แข่งกับยาฝรั่งเช่น ไวอะกร้านั้น ภญ.ผกากรอง ก็มองว่า เป็นเรื่องที่สามารถทำได้ แต่ในฐานะของที่ทำงานด้านนี้ กลับมองไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องทำเช่นนั้น เพราะนอกจากจะต้องใช้งบประมาณนับล้านบาท สำหรับการทำเรื่องนี้แล้ว ที่สำคัญอาจจะไม่ได้ตอบโจทย์ต่อเรื่องสุขภาพเท่าใดนัก
“ถ้าเราพูดเรื่องจำนวนของคนที่ไร้สมรรถภาพทางเพศไม่ได้มีเยอะเท่าใดนัก เป็นเพียงความกังวลของคนเท่านั้นเอง ถึงต้องหายาอะไรมากินกัน ดังนั้นถ้าจะพัฒนายาตัวหนึ่งขึ้นมาคงต้องตอบโจทย์เรื่องนี้ให้มาก เพราะการทำยาตัวหนึ่งไม่ได้เสียเงิน 100-200 บาทแต่เสียหลายล้านบาท แต่ทำมาแล้วมีประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ของประเทศหรือผลกระทบได้สักเท่าไหร่ แน่นอนทางฝ่ายเอกชนก็อาจจะคิดว่ามันน่าจะตอบโจทย์ทางธุรกิจได้ แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า ยิ่งเราสกัดสารให้มีความบริสุทธิ์มากขึ้นเท่าใด โอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงได้มากขึ้นเท่านั้น
“เพราะสมุนไพรไม่ได้ปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ มีผลข้างเคียง แต่มันยังน้อยกว่ายาแผนปัจจุบัน เพราะความเข้มข้นในการเป็นยาของมันไม่ได้สูงมาก สังเกตดูก็ได้ว่า เวลากินสมุนไพรถึงต้องกินหลายเม็ดกว่าแผนปัจจุบัน ซึ่งวิธีแก้ผลข้างเคียงก็คือหยุดยา แล้วส่วนใหญ่ก็จะกลับมาเป็นปกติ”
คือทางเลือกและความหวัง
แม้ว่าการรักษาอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศด้วยสมุนไพรตะวันออกจะอยู่ในระยะ ตั้งไข่ แต่สำหรับคนที่มีปัญหา เชื่อได้เลยว่าแม้จะยาวนานแค่ไหน มันก็ยังคงเป็นความหวังที่คุ้มค่ากับการรอคอย
“ยอมรับเลยว่าด้วยอายุที่มากขึ้น ทำให้สมรรถภาพในเรื่องนั้นของเราลดลงจริง เมื่อก่อนสมัยหนุ่มๆ ก็เป็นเหมือนปกติทั่วไป คือร่างกายกับจิตใจมันไปด้วยกันน่ะ แต่ตอนนี้พออายุใกล้จะถึงหลัก 4 จิตใจเรา เราว่าเหมือนเดิมนะ แต่ร่างกายนี่ชักจะไม่เป็นเหมือนเดิมแล้ว”
ศักดิ์ชาย (ขอสงวนนามสกุล) หนุ่มใหญ่วัย 38 ปี เล่าให้เราฟังถึงสภาวะที่ร่างกายถดถอย ทั้งที่ใจยังสู้อยู่
“ผมแต่งงานมีลูกแล้ว 1 คน แสดงว่าก็ยังพอมีน้ำยาอยู่บ้างนะ (หัวเราะ) แต่มาหลังๆ นี้ สังเกตได้ว่ามันชักจะไม่ค่อยสู้แล้ว คือไม่ใช่ว่านกเขาไม่ขันเสียทีเดียว ก็ขันอยู่ แต่ไม่ขันแข็งเหมือนเมื่อก่อน ตอนแรกเราก็คิดว่าคงเป็นเพราะหน้าที่การงานที่เครียดมากขึ้น เพราะมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบดูแล ก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่หนักเข้าสมรรถภาพทางเพศก็เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด พูดอย่างไม่อายเลยว่า กว่าที่แข็งตัวนี่จะช้ามากทั้งๆ ที่เราก็รู้สึกมีอารมณ์ แล้วพอมันแข็งก็แข็งไม่มากเท่าตอนหนุ่มๆ แต่ก็ยังพอใช้งานได้ ต่อมาก็ได้ไปตรวจสุขภาพประจำปีก็พบว่าน้ำตาลในเลือดสูง มีความเสี่ยงมากที่จะเป็นเบาหวาน ซึ่งผมก็มาศึกษาต่อเองว่าภาวะการเป็นเบาหวานนั้น ส่งผลต่อการแข็งตัวขององคชาตด้วย ทีนี้ก็เลยถึงบางอ้อเลยว่าทำไม่ไม่ฟิตเหมือนเมื่อก่อน”
ตอนแรกๆ ศักดิ์ชายยังไม่ได้คิดว่าอาการนกเขาแข็งตัวไม่เต็มที่นั้นเป็นปัญหา แต่พอเวลาผ่านไป เขาก็รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะอาการตื่นช้าและไม่แข็งตัวมันหนักข้อขึ้นทุกวัน
“หลังๆ มาผมศึกษาเรื่องวิธีการรักษามาเยอะ ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีธรรมชาติอย่างออกกำลังกาย ลดเหล้าบุหรี่ หรือจะเป็นการใช้ยาอย่างไวอะกร้า ก็คิดอยู่ว่าจะเอามาลองใช้หลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้ผมเป็นโรคความดันด้วย ทำให้ยังไม่กล้าลองใช้ เพราะไวอะกร้ามันเป็นยาขยายหลอดเลือด ผมก็เลยกลัวว่ามันจะมีผลกับคนเป็นความดันอย่างผมหรือเปล่า”
แต่เมื่อเขารู้ข่าวของการใช้สมุนไพรตะวันออกในการรักษาอาการนกเขาไม่ขัน ศักดิ์ชัยก็แสดงความเห็นว่ามันเป็นทางเลือกที่ดีและถ้ามีโอกาสก็จะลองใช้
“มันเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนะ เพราะผมเข้าใจว่าพวกสมุนไพรมันไม่น่าจะมีผลข้างเคียงร้ายแรงเท่ายาเคมี ถ้ามันมีการวิจัยเป็นเรื่องเป็นราวแล้วได้ผล ผมก็ว่าจะลองใช้ดูก่อน จริงอยู่ที่มันไม่ใช่การรักษาที่ตรงจุดเสียทีเดียว แต่มันก็ดีกว่าการไปเสี่ยงใช้ยาที่มีผลข้างเคียงอันตรายอย่างไวอะกร้านะ”
นั่นเป็นทรรศนะของคนมีปัญหาที่เฝ้ารอการรักษาอย่างมีความหวัง ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ เราจะพบว่าตัวยาสมุนไพรที่นำมาใช้นั้น มีหลายอย่างที่คนในบ้านเราเอามาประกอบอาหารในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว จึงน่าสงสัยว่า เมื่อคนทั่วไปรู้ว่าของเหล่านี้มันมีสรรพคุณทางยา รักษาอาการนกเขาไม่ขันได้เขาจะหันมาบริโภคมันมากขึ้นหรือไม่
“คงไม่ได้เสาะหามากินมากกว่าแต่ก่อนหรอก คงกินมันเท่าเดิมนั่นแหละโดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้อยู่แล้ว” สรัญวุฒิ ศรีวารีกุล หนุ่มใหญ่วัย 30 กล่าวถึงสมุนไพรเหล่านี้ในฐานะอาหาร ซึ่งเขายังบอกต่อไปอีกว่าถึงแม้เขาจะมีปัญหาในเรื่องอย่างว่าขึ้นมาในวัน หนึ่ง เขาก็คงไม่กินสมุนไพรเหล่านี้ในฐานะของอาหารบำรุงแน่นนอน
“ถ้าเกิดป่วยขึ้นมาจริงๆ ก็ไปหาหมอดีกว่า คงไม่กินอาหารรักษาเองหรอก น่าจะกินยาไปเลย แต่จะเป็นยาไทยหรือยาฝรั่งก็ต้องดูกันอีกทีว่าอันไหนมันดีกว่ากัน”
คำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นแมวสีไหน ขอให้สามารถจับหนูได้เป็นพอ นั้นเป็นคำกล่าวที่สมเหตุสมผล ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นยาสมุนไพรตะวันออก หรือยาเคมีจากตะวันตก หากมันช่วยรักษาความป่วยไข้ได้เหมือนกันก็คงจะไม่ต้องมาเถียงกันว่าอะไรดี กว่าอะไร
แต่ถ้าหากจะมองถึงเรื่องอื่นๆ ที่ลึกลงไปกว่าการรักษาโรคให้หาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผลข้างเคียง เรื่องของจิตใจ มันย่อมมีอะไรๆ ให้พิจารณากันอีกไม่น้อย ถึงตอนนั้น ผู้ใช้ก็คงจะเลือกเองได้ว่าจะยืนอยู่ทางฝั่งไหนของโลกดี.
ข้อมูลจาก : ผู้จัดการ วันจันทร์ ที่ 5 กันยายน 2554
ป้ายกำกับ:
เกร็กคู,
เกร็กคู ราคา,
บำรุงร่างกาย,
ปู่เซิน,
ยาเกร็กคู,
ยาบำรุงร่างกาย
Sunday, July 27, 2014
ถั่งเช่า สมุนไพรจีน
"ถังเช่า" หรือ “ตังถั่งเฉ้า” แปลเป็นไทยว่า “ฤดูหนาวเป็นหนอน ฤดูร้อนเป็นหญ้า” หรือที่เรียกกันว่า “หญ้าหนอน” เป็นสุดยอดสมุนไพรจีน ชื่อดังในไทยขณะนี้ เนื่องจากมีงานวิจัยหลายงานบอกว่าช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ โดยยาสมุนไพรชนิดนี้ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นตัวหนอน คือ ตัวหนอนของผีเสื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hepialus armoricanus Oberthiir และบนตัวหนอนมีเห็ดชนิดหนึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Cordyceps sinensis
(Berk.) Saec. หนอนชนิดนี้ในฤดูหนาวจะฝังตัวจำศีลอยู่ใต้ดินภูเขาหิมะ
เมื่อน้ำแข็งเริ่มละลาย สปอร์เห็ดจะพัดไปกับน้ำแข็งที่ละลาย
แล้วไปตกที่พื้นดิน จากนั้นตัวหนอนเหล่านี้ก็จะกินสปอร์
และเมื่อฤดูร้อนสปอร์ก็เริ่มเจริญเติบโตเป็นเส้นใยโดยอาศัยการดูดสารอาหาร
และแร่ธาตุจากตัวหนอนนั้น เส้นใยงอกออกจากท้องของตัวหนอน
และงอกออกจากปากของมัน
เห็ดเหล่านี้ต้องการแสงอาทิตย์มันจึงงอกขึ้นสู่พื้นดิน
รูปลักษณะภายนอกคล้ายไม้กระบอก ส่วนตัวหนอนเองก็จะค่อย ๆ ตายไป
อยู่ในลักษณะของหนอนตายซาก ฉะนั้น “ถั่งเช่า” ที่ใช้ทำเป็นยาก็คือ
ตัวหนอนและเห็ดที่แห้งแล้วนั่นเอง ทั้งนี้สมุนไพรดังกล่าวมีจำนวนน้อย ราคาซื้อขายค่อนข้างแพง โดยเชื่อว่ามีมากใน ถั่งเช่าพบได้ในแถบทุ่งหญ้าบนภูเขาประเทศจีน (ธิเบต) เนปาล และภูฏาน
ระดับ ความสูง 4,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เห็ดถั่งเช่าที่วางขายในเมืองไทยนั้น ไม่ใช่เห็ดของแท้ส่งตรงจากทิเบตมาแต่อย่างใด แต่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิตของเทคโนโลยีไม่ใช่กระบวนการทางธรรมชาติ ถ้าของจริงต้องไปซื้อของภูฏาน เพราะที่นั่นรัฐบาลเขาจะออก Certificated ให้ทุกตัวหนอนถั่งเช้า แต่ถ้าที่ประเทศจีน หากไปซื้อตามถนนที่ขายแบกะดิน กิโลฯ ละสองล้านอย่างนี้ ส่วนใหญ่เป็นของปลอม
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่เพาะในบริเวณภาคใต้ในมณฑลชิงไห่ เขตซางโตวในธิเบต มณฑลเสฉวน ยูนนาน และกุ้ยโจว โดยการเก็บถั่งเช่าจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดตัวหนอนขึ้นจากดินแล้ว ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแห้ง การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง
“ถั่งเช่า” ถือได้ว่าเป็นยาสมุนไพรที่ในตำรับยาจีนโบราณที่เชื่อกันว่า มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศจีนนานนับศตวรรษ เชื่อกันว่ามีสรรพคุณในเรื่องของกระตุ้น สมรรถภาพทางเพศ และใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ และไต ที่ช่วยแก้เรื่องสมดุลร่างกายให้ปกติและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะจากการวิจัยพบว่าขณะที่ตัวหนอนจะโผล่ออกมา ถ้าเกิดมันบาดเจ็บ มันก็จะเป็นเชื้อรา ทีนี้ถึงมันจึงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา แต่มันก็จะไม่ตายทันที เพราะฉะนั้นมันก็จะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ หิมะตกก็จำศีล หิมะละลายก็โผล่ขึ้นมา แล้วผ่านไปประมาณ 6 ปี มันถึงเกิดออกมาเป็นผีเสื้อ เพราะฉะนั้นขณะที่มันมีเชื้อราอยู่ในตัวมันเอง มันจะป่วย พอป่วยแล้วมันก็ยังฟักตัว เนื่องจากว่ามันยังอยู่ใต้ความเย็นสูง พอมันอุ่นขึ้นมา ถ้ามันบาดเจ็บ หรือโดนเชื้อราเข้าไป มันก็จะขึ้นมาตาย ไม่กลายเป็นผีเสื้อ พอออกมาตายปุ๊บ ร่างกายข้างในมันมีเชื้อรา ไอ้เชื้อราตัวนี้มันก็จะกินตับไตไส้พุงจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วก็ออกมาเป็นดอกเห็ด เพราะฉะนั้น ข้างในมันจะเป็นเส้นใยของเห็ดทั้งนั้น แต่ข้างนอกจะเป็นปลอกหุ้มของตัวหนอน ทำให้ถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ โพลีแซคคาไรด์ (galactomannan), นิวคลีโอไทด์ (adenosine, cordycepin), cordycepic acid, กรดอะมิโน และสเตอรอล (ergosterol, beta-sitosterol) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่น ๆ เช่น โปรตีน วิตามินต่างๆ ( Vit E, K, B1, B2 และ B12) และแร่ธาตุต่าง ๆ (โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม)
สรรพคุณเด่นของมันก็จะมีสารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) หรือ คอร์ไดซิปิค แอซิด (Cordycepic acid) สารตัวนี้มีความสามารถช่วยดึงเอาออกซิเจนมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นก็หมายถึงเวลาเราหายใจ มีอาการเหนื่อยล้า มันจะช่วยให้เราไม่เหนื่อย ไม่หอบ ลักษณะมันก็จะเป็นอย่างนั้นเราอาจเรียกว่าการบูสท์ (Boost) ทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้สูงขึ้น นั่นหมายถึงผู้ป่วยหรือผู้อะไรต่างๆ ที่หายใจลำบาก หรือกำลังพักฟื้น ร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนแอ สารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) มันก็จะช่วยดูดออกซิเจนมาใช้ได้ดียิ่งขึ้น ตัวนี้ตัวเด่น
นอกจากนี้ยังมีสารโพลิแซกคาไรด์ (Polysaccharide) หรือที่เราเรียกว่า เบต้ากลูแคน (Beta glucan) โดยปกติ พืชทั่วไปเนี่ย พวกข้าว อะไรต่างๆ มันจะเป็นเบต้ากลูแคน 14 แต่ว่าเห็ดถั่งเช่าเนี่ยมันจะเป็นเบต้ากลูแคน 13 กับ 16 เวลาเรากินเห็ดเข้าไปแล้วเนี่ย มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของเราสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้น เกิดการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมา ทำให้มีผลในการบำรุงรักษาร่างกายได้อย่างดี แต่ที่ทำให้สมุนไพรนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่อดจะกล่าวถึงไม่ได้ กับการเป็น “ไวอากร้าธรรมชาติ”แต่จริงๆ แล้วเห็ดถั่งเช่าไม่ได้สามารถกระตุ้น ความต้องการของผู้ชาย แต่มันเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมา ทั้งนี้เมื่อร่างกายแข็งแรง มีเรี่ยวแรงพลังเหลือเฟือ ทำให้ดูปึ๋งปั๋งดั่งใจไปหมด หรือหากจะอธิบายก็คือ ร่างกายสามารถดึงออกซิเจนไปใช้ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นสมรรถภาพทางเพศหรือทางร่างกาย หรือผู้ป่วยต่างๆ ที่กำลังพักฟื้นเนี่ย ก็จะดีขึ้นและเร็วขึ้น แต่เพราะคนเราชอบคิดว่ามันเป็นยาเพิ่มพลังทางเพศ แต่ว่าความจริงมันไม่ได้มีสรรพคุณไปเร่งฮอร์โมนทางเพศ ไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น แต่มันทำให้สมดุลในร่างกายมันดีขึ้น คือหมายถึงว่าทุกส่วนในร่างกายมันจะดีขึ้น ไม่ได้เหมือนกับไวอากร้า ที่เป็นการไปกระตุ้นเรื่องทางเพศ
แหล่งอ้างอิง :
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.vcharkarn.com,
www.tpma.or.th,
http://onlinecasino.us
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่เพาะในบริเวณภาคใต้ในมณฑลชิงไห่ เขตซางโตวในธิเบต มณฑลเสฉวน ยูนนาน และกุ้ยโจว โดยการเก็บถั่งเช่าจะเก็บในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ เมื่อขุดตัวหนอนขึ้นจากดินแล้ว ล้างน้ำให้สะอาด แล้วตากแห้ง การเก็บรักษา ควรเก็บไว้ในที่แห้ง
“ถั่งเช่า” ถือได้ว่าเป็นยาสมุนไพรที่ในตำรับยาจีนโบราณที่เชื่อกันว่า มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศจีนนานนับศตวรรษ เชื่อกันว่ามีสรรพคุณในเรื่องของกระตุ้น สมรรถภาพทางเพศ และใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย บำรุงอวัยวะภายใน เช่น ปอด ตับ และไต ที่ช่วยแก้เรื่องสมดุลร่างกายให้ปกติและใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพราะจากการวิจัยพบว่าขณะที่ตัวหนอนจะโผล่ออกมา ถ้าเกิดมันบาดเจ็บ มันก็จะเป็นเชื้อรา ทีนี้ถึงมันจึงเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา แต่มันก็จะไม่ตายทันที เพราะฉะนั้นมันก็จะผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ หิมะตกก็จำศีล หิมะละลายก็โผล่ขึ้นมา แล้วผ่านไปประมาณ 6 ปี มันถึงเกิดออกมาเป็นผีเสื้อ เพราะฉะนั้นขณะที่มันมีเชื้อราอยู่ในตัวมันเอง มันจะป่วย พอป่วยแล้วมันก็ยังฟักตัว เนื่องจากว่ามันยังอยู่ใต้ความเย็นสูง พอมันอุ่นขึ้นมา ถ้ามันบาดเจ็บ หรือโดนเชื้อราเข้าไป มันก็จะขึ้นมาตาย ไม่กลายเป็นผีเสื้อ พอออกมาตายปุ๊บ ร่างกายข้างในมันมีเชื้อรา ไอ้เชื้อราตัวนี้มันก็จะกินตับไตไส้พุงจนทะลุปรุโปร่งหมดแล้วก็ออกมาเป็นดอกเห็ด เพราะฉะนั้น ข้างในมันจะเป็นเส้นใยของเห็ดทั้งนั้น แต่ข้างนอกจะเป็นปลอกหุ้มของตัวหนอน ทำให้ถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ โพลีแซคคาไรด์ (galactomannan), นิวคลีโอไทด์ (adenosine, cordycepin), cordycepic acid, กรดอะมิโน และสเตอรอล (ergosterol, beta-sitosterol) นอกจากนี้ยังประกอบด้วยสารอาหารสำคัญอื่น ๆ เช่น โปรตีน วิตามินต่างๆ ( Vit E, K, B1, B2 และ B12) และแร่ธาตุต่าง ๆ (โพแทสเซียม โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี และซิลิเนียม)
สรรพคุณเด่นของมันก็จะมีสารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) หรือ คอร์ไดซิปิค แอซิด (Cordycepic acid) สารตัวนี้มีความสามารถช่วยดึงเอาออกซิเจนมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น นั่นก็หมายถึงเวลาเราหายใจ มีอาการเหนื่อยล้า มันจะช่วยให้เราไม่เหนื่อย ไม่หอบ ลักษณะมันก็จะเป็นอย่างนั้นเราอาจเรียกว่าการบูสท์ (Boost) ทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้สูงขึ้น นั่นหมายถึงผู้ป่วยหรือผู้อะไรต่างๆ ที่หายใจลำบาก หรือกำลังพักฟื้น ร่างกายอยู่ในสภาพอ่อนแอ สารคอร์ไดซิปิน (Cordycepin) มันก็จะช่วยดูดออกซิเจนมาใช้ได้ดียิ่งขึ้น ตัวนี้ตัวเด่น
นอกจากนี้ยังมีสารโพลิแซกคาไรด์ (Polysaccharide) หรือที่เราเรียกว่า เบต้ากลูแคน (Beta glucan) โดยปกติ พืชทั่วไปเนี่ย พวกข้าว อะไรต่างๆ มันจะเป็นเบต้ากลูแคน 14 แต่ว่าเห็ดถั่งเช่าเนี่ยมันจะเป็นเบต้ากลูแคน 13 กับ 16 เวลาเรากินเห็ดเข้าไปแล้วเนี่ย มันจะไปกระตุ้นให้ร่างกายของเราสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากขึ้น เกิดการกระตุ้นให้เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวขึ้นมา ทำให้มีผลในการบำรุงรักษาร่างกายได้อย่างดี แต่ที่ทำให้สมุนไพรนี้มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่อดจะกล่าวถึงไม่ได้ กับการเป็น “ไวอากร้าธรรมชาติ”แต่จริงๆ แล้วเห็ดถั่งเช่าไม่ได้สามารถกระตุ้น ความต้องการของผู้ชาย แต่มันเป็นเพียงผลพลอยได้ที่ตามมา ทั้งนี้เมื่อร่างกายแข็งแรง มีเรี่ยวแรงพลังเหลือเฟือ ทำให้ดูปึ๋งปั๋งดั่งใจไปหมด หรือหากจะอธิบายก็คือ ร่างกายสามารถดึงออกซิเจนไปใช้ได้มากขึ้น เพราะฉะนั้นสมรรถภาพทางเพศหรือทางร่างกาย หรือผู้ป่วยต่างๆ ที่กำลังพักฟื้นเนี่ย ก็จะดีขึ้นและเร็วขึ้น แต่เพราะคนเราชอบคิดว่ามันเป็นยาเพิ่มพลังทางเพศ แต่ว่าความจริงมันไม่ได้มีสรรพคุณไปเร่งฮอร์โมนทางเพศ ไม่ได้เป็นอะไรแบบนั้น แต่มันทำให้สมดุลในร่างกายมันดีขึ้น คือหมายถึงว่าทุกส่วนในร่างกายมันจะดีขึ้น ไม่ได้เหมือนกับไวอากร้า ที่เป็นการไปกระตุ้นเรื่องทางเพศ
สรรพคุณถั่งเช่า
- เห็ดถั่งเช่า สรรพคุณช่วยบำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง เพิ่มภูมิต้านทานโรค ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยแก้อาการอ่อนเพลีย
- ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ชราและความเสื่อมของเซลล์ต่างๆในร่างกาย
- ช่วยในด้านอารมณ์ ช่วยระงับประสาท ทำให้จิตใจสงบ ลดอาการหงุดหงิดง่าย
- ช่วยเพิ่มความจำ ป้องกันโรคความจำเสื่อม ช่วยลดการตายของเซลล์ในมอง
- ตังถั่งเช่า สรรพคุณช่วยบำรุงหลอดเลือด
- ช่วยบำรุงปอด ช่วยบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
- ช่วยในเรื่องระบบทางเดินหายใจ แก้อาการไอเรื้อรัง รักษาถุงลมโป่งพอง ช่วยบำบัดโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
- ช่วยบรรเทาและรักษาอาการของโรคหอบหืด
- ช่วยแก้วัณโรค ถุงลมโป่งพองหรืออาการผิดปกติในระบบปอดและหัวใจ
- ช่วยละลายเสมหะ หยุดอาการเลือดออกทางเสมหะ
- เชื่อว่ามันช่วยรักษามะเร็ง ช่วยต่อต้านเซลล์มะเร็งและลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้
- ช่วยลดความดันโลหิต อาการใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว
- ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ร่างกายของผู้ป่วยเบาหวานไวต่ออินซูลินมากขึ้น ช่วยจัดการน้ำตาลในร่างกายได้ดีขึ้น
- ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด และรักษาสมดุลของคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด
- ช่วยต่อต้านไม่ให้เกิดไขมันแข็งตัวจากการถูกออกซิไดซ์โดยอนุมูลอิสระ
- ช่วยป้องกันไขมันเลว (LDL) ไม่ให้เกาะในหลอดเลือด
- ช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนของเลือดให้คล่องตัว ช่วยขยายหลอดเลือด และเพิ่มปริมาณของเลือดที่เข้าไปหล่อเลี้ยงปอดและหัวใจ เพิ่มระดับออกซิเจนและช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการขาดออกซิเจน
- ช่วยบำรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของตับและไตให้ดีขึ้น
- จากงานวิจัยพบว่าถั่งเช่าช่วยให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายเรื้องรัง มีอาการดีขึ้นมากถึง 51% หลังจากรักษาด้วยถั่งเช่าเพียง 1 เดือน
- สรรพคุณของถั่งเช่า ช่วยรักษาคนไข้ที่ธาตุหยางพร่องในไต (หรืออาการปวดหลัง กลัวหนาว หัวเข่าเย็น หรือปัสสาวะบ่อย)
- มีฤทธิ์ในการช่วยยับยั้งพิษจากแบคทีเรีย รวมไปถึงแบคทีเรียวัณโรคด้วย
- ถั่งเช่า สรรพคุณช่วยลดการอักเสบ
- สรรพคุณ ถั่งเช่าช่วยห้ามเลือด
- สำหรับนักกีฬาสมุนไพรชนิดนี้จะช่วยเพิ่มสมรรถนะของนักวิ่งให้ดียิ่งขึ้น
- ประโยชน์ถั่งเช่าสำหรับสตรี ใช้เป็นยาบำรุงช่วยทำให้มีบุตรง่ายขึ้น ช่วยปรับประจำเดือน ทำให้เลือดลมเดินดีขึ้น
- ประโยชน์ของถั่งเช่า ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ มีฤทธิ์บำรุงกำลังทางเพศ ช่วยให้อสุจิแข็งแรง เนื่องจากการกินถั่งเช่าจะส่งผลให้มีเลือดไปเลี้ยงอวัยวะเพศมากขึ้น ซึ่งจากงานวิจัยในต่างประเทศพบว่าการกินถั่งเช่าวันละ 1 กรัม เป็นเวลา 46 วันจะช่วยให้สมรรถภาพทางเพศเพิ่มมากขึ้นถึง 64% เลยทีเดียว (แต่ยังไม่มีงานวิจัยรับรองมากนัก นอกจากงานวิจัยที่ได้ทดลองในหมูป่าที่พบว่ามันมีสรรถภาพทางเพศที่ดีขึ้น)
http://onlinecasino.us
Saturday, July 26, 2014
เกร็กคูยาบำรุงร่างกาย
เกร็กคูเป็นยาสมุนไพรจีน สูตรโบราณ ซึ่งทาง หมอทศพรโอสถ หรือหมอดูตาทิพย์ได้นำมาผลิตใส่ในแคปซูลพร้อมกับบรรจุภัณฑ์ที่ทันสมัยใสสะอาดไม่เป็นอันตราย โรงงานได้มาตรฐาน ISO ,GMP และฮาลาส ในปัจจุบันการแพทย์แผนจีนเป็นการแพทย์ทางเลือกในการบำรุงรักษาร่างกาย เพราะตัวยาใช้สมุนไพรจีนซึ่งคือสารสกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ สำหรับบำรุงพลานามัยอันเป็นความคิดของแพทย์แบบอย่างจีน มาเป็นตำหรับยา ที่นำพืชพรรณ สมุนไพรจีนมาปรับปรุงโดยใช้อุปกรณ์อันทันสมัยพร้อม ด้วยเทคโนโลยีในการทำยารูปแบบทันสมัยซึ่งจะสนับสนุนให้ผู้มีตัวปัญหาทางด้าน สุขภาพอนามัยเนื่องด้วยการถดถอยของร่างกายสภาพหย่อนความสามารถทางเพศในเพศ ชาย อาการหลั่งเร็ว นอนหลับไม่หลับความเสื่อมร่างกายเมื่อยหมดแรง คุณสมบัติของยา จะช่วยถนอมสุขภาพ ร่างกาย ส่งเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่ายาจะสนับสนุน และไปปรับสมดุลร่างกายให้กลับมาแข็งแรง พร้อมกับบำรุงร่างกาย บรรเทาอาการเจ็บป่วยหลายอย่าง เช่น สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน มีปัญหาสุขภาพสมรรถนะทางเพศทั้งนี้ตัวยาไม่มีองค์ประกอบของสารสเตียรอยด์ พร้อมกับสารกระตุ้นจึงไม่มีผลข้างเคียงใด มั่นใจได้ว่าไม่เป็นอันตราย อย่างแท้จริง ตัวยาผลิตมาจากสมุนไพรชั้นดีหลายประเภท ที่ผ่านการวิจัยมายาวนานด้านสรรพคุณ เป็นที่ประจักต์ มีคุณสมบัติบำรุงร่างกาย สุขภาพอย่างดีเพียงใด ดังนี้จึงเชื่อมั่นได้ว่า เกร็กคู มีผลต่ออนามัยของผู้กินตัวอย่างองค์รวมอย่างแท้จริงมีผลในการบำรุงรักษาร่างกาย สุขภาพ มีความปลอดภัย ได้การรับรองจากองค์กรอาหารและยาของไทย มีเลข อ.ย. ยารับรองถูกต้อง อีกทั้งการรับประทานเป็นประจำ จะเป็นการปกป้อง ดูแลร่างกายไม่ให้เสื่อมถอย ทั้งนี้การทานยาให้ให้ผลควรรับประทานกับน้ำอุ่น ทั้งนี้อย่างไรก็ตามควรมีการดูแล กินอาหารที่มีมีคุณภาพ ออกกำลังกาย อย่างเสมอต้นเสมอปลายหลีกเลี่ยงเรื่องราวที่ทำให้กลุ้มใจ
ป้ายกำกับ:
เกร็กคู,
เกร็กคู ราคา,
บำรุงร่างกาย,
ปู่เซิน,
ยาเกร็กคู,
ยาบำรุงร่างกาย
Subscribe to:
Posts (Atom)