Friday, April 24, 2015

ผ่อนคลายด้วยวิธีง่ายๆ

                                                     ผ่อนคลายด้วยวิธีง่ายๆ

                                                                 


        เมื่อคุณเครียด หงุดหงิด เสียใจ ท้อแท้ สิ้นหวัง หรือโดนกดดันจากใครๆ บ่อยครั้งที่ความรู้สึกแง่ลบเหล่านี้ ทำให้คุณมีความคิดด้านลบต่อตัวเอง อย่าง “ฉันไม่ดีพอ” มีความคิดด้านลบต่อสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น “โลกใบนี้ไม่มีที่ยืนสำหรับคนอย่างฉัน” หรือแม้แต่มีความคิดด้านลบต่ออนาคตผุดขึ้นในหัวว่า “มันคงจะต้องแย่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ...ชีวิตของฉันจะดีขึ้นกว่านี้ได้อย่างไร”

อย่าปล่อยให้ความคิดร้ายๆ ทำลายชีวิตคุณ จงมีสติรู้เท่าทัน เปลี่ยนความคิดร้ายๆ ที่บั่นทอนจิตใจ ให้เป็นความคิดดีๆ ที่ให้กำลังใจตัวเอง เพียงเท่านี้คุณก็เปลี่ยนโลกให้ไฉไลขึ้นได้แล้ว

1. อย่าเสียเวลากับเรื่องไม่ดีที่ผ่านไปแล้ว ต้องยอมรับความจริงว่า ‘ชีวิตเรามีทรัพยากรต่างๆ ให้ใช้อย่างจำกัด โดยเฉพาะเวลา’ คงไม่ดีแน่หากเรานำสิ่งมีค่านี้ไปใช้กับสิ่งที่เราไม่สามารถจัดการแก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงได้ เหตุการณ์ต่างๆ หรือ สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในอดีต อาจเป็นปมติดค้างในใจและคอยฉุดรั้งไม่ให้คุณก้าวต่อไปได้อย่างเต็มที่...แต่ การหมกมุ่นอยู่กับปมต่างๆ เหล่านั้น นอกจากจะไม่ทำให้เกิดประโยชน์แล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาใหม่ๆ ตามมาได้อีก

“เลิกคิดถึงอดีตซะ...ยอมรับเรื่องราว ที่เกิดขึ้น และเรียนรู้จากสิ่งผิดพลาดที่ผ่านพ้นไป เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ในการป้องกันและจัดการกับปัญหาใหม่ๆ ในอนาคต” ผลลัพธ์ ของแต่ละเหตุการณ์ เกิดจากปัจจัยมากกว่าหนึ่ง การทำผิดพลาดไม่ได้แปลว่าคุณแย่ และการทำสำเร็จไม่ได้หมายความว่าคุณเก่งหรือดีเสมอไป...ทุก เหตุการณ์ล้วนแฝงไปด้วยปัจจัยบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้เสมอ การครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้และเรื่องเดิมๆ ไม่ทำให้อะไรดีขึ้น แต่กลับเป็นการดึงตัวเองไปสู่สภาวะที่กดดันยิ่งกว่าเดิม

2. ความยุติธรรมและความเท่าเทียม 100% ไม่มีจริงหรอก ยอมรับให้ได้และอย่านำตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร แน่ นอนว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งถูกต้องที่ควรมีในทุกระบบและทุกสังคม แต่คุณไม่สามารถหาความเท่าเทียมแบบ 100% ได้จากทุกบริบท เพราะอคติ (Bias) เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอเวลาที่ใครก็ตามต้องตัดสินใจอะไรบางเรื่อง หลักการและเหตุผลเพียงอย่างเดียวไม่สามารถนำมาซึ่งบทสรุปโดยปราศจากความคิดเห็นได้...และทุกๆ ความคิดเห็นมักจะถูกปนเปื้อนด้วยอคติเสมอ

ทุกครั้งที่เราตกอยู่ในสภาวะที่ถูก ตัดสินโดยบุคคลอื่น เช่น การสัมภาษณ์งาน การประเมินผลการทำงานในช่วงปลายปีเพื่อพิจารณาขั้นเงินเดือนหรือโบนัส ผลการประกวดตามเวทีต่างๆ การนำผลการตัดสินนั้นมาวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของตัวเองเพื่อพัฒนาและลด ข้อจำกัดของเราต่อไปในอนาคตย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่า แต่หากผลการตัดสินที่น่าผิดหวังนั้น ถูกบันทึกไว้เป็นบาดแผลในใจสิ่งนี้จะทำให้เรารู้สึกพ่ายแพ้ ต่ำต้อยเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น และทำให้เกิดความรู้สึกไร้ค่า ท้อแท้ สิ้นหวังตามมา

อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วย

http://www.grakcudonmuang.com/product/101/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%B9-%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%9A%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2

 ยาเกร็กคู สรรพคุณ : บำรุงร่างกาย เสริมสมรรถภาพทางเพศ บำรุงเลือด ลดไขมันในเลือดสูง ช่วยแก้อาการร่างกายอ่อนเพลีย อ่อนแรง แขนขาไม่มีเรี่ยวแรง ไม่มีสารตกค้าง ไม่มีสเตียรอยด์ บำรุงกำลัง บำรุงตับ

Thursday, April 9, 2015

กำราบความดันโลหิตสูง




          ความดันโลหิตสูงเป็น 1 ในสาเหตุสำคัญของการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร โดยแต่ละปีมีประชากรวัยผู้ใหญ่ทั่วโลกเสียชีวิตจากภาวะนี้มากถึงเกือบ 8 ล้านคน ที่สำคัญคน ส่วนใหญ่ไม่รู้ตัวว่ามีอันตรายเกิดขึ้นในร่างกายของตัวเอง เพราะโรคนี้แทบจะไม่ปรากฏสัญญาณเตือนใดๆ จนนานวันเข้ากลายเป็นสาเหตุเกิดโรคแทรกซ้อนร้ายแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต ตามมาอย่างที่หลายคนนึกไม่ถึง สถิติจากมิเตอร์ประเทศไทย ของมหาวิทยาลัยมหิดล รายงานว่า ตั้งแต่ต้นปี 2556 คนไทยเสียชีวิตแล้วด้วย โรคหัวใจรวม 25,959 คน โรคหัวใจขาดเลือด 26,197 คน โรคหลอดเลือดในสมองแตก 20,005 คน โรคเบาหวาน 20,005 คน ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนเกี่ยวเนื่องมาจากความดันโลหิตที่สูงขึ้นทั้งสิ้น


           โรคความดันโลหิตสูงว่า “มีค่าตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป จัดอยู่ในกลุ่มโรคหัวใจและหลอดเลือด และถือเป็นโรคเรื้อรังที่ส่งผลเสียต่อร่างกายโดยตรง หากทิ้งไว้นานโดยไม่ได้ใส่ใจเข้ารับการดูแลรักษา ก็อาจนำไปสู่โรคหรือภาวะแทรกซ้อนน่ากลัวกับอวัยวะสำคัญตามมา อาทิ โรคหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตกทำให้เป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย หัวใจโต หัวใจเต้นผิดจังหวะ จอประสาทตาเสื่อมทำให้การมองเห็นลดลงหรือถึงขั้นตาบอด ไตวายเรื้อรัง โรคเส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ เช่น ไต แขนขา ตีบหรืออุดตัน เป็นต้น”

สาเหตุของความดันโลหิตสูง แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ

         กลุ่มที่ 1 เป็นผลจากภาวะโรคใดโรคหนึ่งหรือเรียกว่าความดันโลหิตสูงทุติยภูมิ เช่น ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ ไตวายเรื้อรัง เนื้องอกของต่อมหมวกไต เป็นต้น แนวทางการรักษาสำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ รักษาที่ภาวะโรคที่เป็นต้นเหตุ

         กลุ่มที่ 2 เรียกว่าความดันโลหิตสูงปฐมภูมิ มักเป็นผลจากพันธุกรรม ความอ้วน อายุที่เพิ่มขึ้น นิสัยการกินเค็ม การดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ความเครียด ร่วมกับผลจากความไม่สมดุลระหว่างระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมนที่ทำหน้าที่ ควบคุมการหดตัวหรือขยายของหลอดเลือดแดงส่วนปลาย ซึ่งเป็นวงจรที่เกี่ยวเนื่องกันโดยตรงระหว่างการสั่งการจากสมอง ประสาทไขสันหลัง และหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไต ซึ่งความดันโลหิตสูงปฐมภูมินั้นไม่มีทางรักษาหายขาด ต่างจากแบบทุติยภูมิที่เมื่อรักษาโรคต้นตอแล้ว ภาวะความดันโลหิตสูงก็จะบรรเทาไปเอง

           การหมั่นตรวจสุขภาพ ดูแลรักษาร่างกาย พร้อมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมความดันให้อยู่ในเกณฑ์ปกติเพื่อลดความ เสี่ยงในการเกิดโรคแทรกซ้อน โดยทั่วไปการรักษาจะแตกต่างกันไปในแต่ละราย หากไม่ร้ายแรงอาจแนะนำให้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ เช่น ลดกินเค็ม ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย เลิกสูบบุหรี่ ไปจนถึงการกินยาเพื่อควบคุมความดันโลหิต แต่สำหรับบางรายที่แม้จะพยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเต็มที่แล้ว และรับประทานยาที่มากทั้งชนิดและปริมาณแล้วก็ยังไม่ช่วยอะไร ความดันโลหิตยังมีค่าเกินกว่า 160 มิลลิเมตรปรอท ถ้ามีอายุน้อยกว่า 80 ปี มักแนะนำให้รักษาด้วยวิธีการจี้ไฟฟ้าที่ระบบประสาทอัตโนมัติ หรือที่เรียกว่า Renal Denervation Therapy วิธีนี้เป็นการใช้ความร้อนจากคลื่นความถี่วิทยุ จี้ทำลายร่างแหเส้นประสาทอัตโนมัติที่อยู่ในผนังหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงไต ทั้งสองข้าง โดยใช้อุปกรณ์พิเศษสอดผ่านหลอดเลือดจากขาหนีบย้อนขึ้นไปถึงหลอดเลือดแดงที่ ไปเลี้ยงไต ซึ่งเป็นแขนงของหลอดเลือดแดงใหญ่ในช่องท้อง มีข้อดีคือใช้เวลารักษาเพียงแค่ 1-2 ชั่วโมง หลังจากนั้นพักฟื้นและดูอาการอีกประมาณ 6 ชั่วโมง และสามารถกลับบ้านด้ภายใน 1-2 วัน

          วิธีการรักษาเหล่านี้เป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุเท่านั้น สุขภาพแข็งแรงควรเริ่มต้นที่การป้องกันรู้จักดูแลตัวเองด้วยการนำสิ่งดีๆ มาสู่ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ